การขอความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน:
กรณีที่คุณถูกคู่สมรสทำร้าย บาดเจ็บ หรือตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ถ้าอยู่ในอเมริกา โทร 911 ถ้าคุณอยู่ประเทศอื่น ให้โทรหมายเลขฉุกเฉินสำหรับประเทศนั้นๆ
ขอคำแนะนำ/ความช่วยเหลือ :
การตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไป:
สิ่งที่ควรคำนึงถึงก่อนจะทำอะไรลงไปคือ...
* ถ้าคุณคิดว่าเขาจะกลับเนื้อกลับตัวได้.... คุณจะถูกเขาทำร้ายอีกครั้งแล้วครั้งเล่า คนแบบนี้มีปมปัญหาทางจิตที่ฝังรากลึกจนแก้ไม่หาย หรืออาจจะเรียกว่าแก้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่อายุมากขึ้น การเข้ารับการบำบัดไม่ได้ผลเสมอไป
* ถ้าคุณคิดว่าจะอยู่เป็นกำลังใจให้เขา คุณคิดผิด เพราะการที่คุณยอมรับ หรือนัยหนึ่งไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบโต้เขาได้ เท่ากับยิ่งทำให้อาการของเขาหนักขึ้น แทนที่จะทุเลาลง
* ถ้าเขาสัญญาว่าจะเลิกนิสัยนี้ เวลาบันดาลโทสะลงมืออีกที เขาจะออดอ้อน ขอโทษ ขอโอกาสแก้ตัว ฯลฯ ถ้าคุณใจอ่อน คุณจะตกอยู่ในวังวนนี้ตลอดไป แต่ถ้าคุณจากไปเขาก็ไม่เสียดายหรือเสียใจ.. แต่หาใหม่ทันที
* การเข้ารับการบำบัดไม่ได้เป็นเครื่องรับรองว่าเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความหนักหนาสาหัสของปัญหา ขึ้นอยู่กับปูมหลัง พิ้นเพครอบครัว การศึกษา และปัจจัยอื่นอีกหลายๆ อย่าง
สัญญาณที่บ่งบอกว่าเขาไม่มีวันจะเปลี่ยนได้:
* เขาจะทำเหมือนมันเป็นเรื่องเล็ก ไม่มีความหมาย
* เขามักโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่น ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ รวมทั้งโทษคุณด้วย
* เขาจะบังคับให้คุณไปเข้าคอร์สบำบัด จริงๆ แล้วเขาจะได้หาเหตุนี้โทษว่าคุณเองนั่นแหละเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ เขาไม่ผิด คุณต่างหากที่ผิด
* เขาอ้างว่าคุณไม่ให้โอกาสเขา
* คุณต้องเคี่ยวเข็ญให้เขาเข้าคอร์สบำบัด ไม่งั้นเขาไม่ยอมไป
* เขาบอกคุณว่า เขาจะปรับปรุงตัวไม่ได้ถ้าไม่มีคุณอยู่เคียงข้าง ตรงนี้ผู้หญิงส่วนมากมักแปลความผิดๆ ว่าเขารักตัว แต่ความจริงไม่ใช่ เขายอมอ่อนเพราะต้องการอำนาจการควบคุมโดยสิ้นเชิงภายหลังค่ะ
ปลอดภัยไว้ก่อน:
ไม่ว่าคุณจะเลือกเดินทางไหน สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณต้องคำนึงถึงคือความปลอดภัยของตัวเอง จำไว้เสมอว่าหนึ่งในสามของคดีฆาตกรรมในอเมริกานั้น เกิดจากน้ำมือคู่สมรสหรือแฟนที่อยู่กินด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการฆาตกรรมโดยไม่ได้เจตนาคือบันดาลโทสะ แต่หลุดมือแรงไปหนอยเลยทำให้พลาดถึงตาย หรือกรณีที่โกรธเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายตีตัวออกห่าง หรือมีแผนจะหย่า ในกรณีหลังนี้มักจะมีเรื่องการฆาตกรรมเพื่อเอาเงินประกันชีวิตพ่วงเข้ามา ด้วย ยกตัวอย่าง ถาคุณไปเจอสามีที่เคยแต่งงานกับผู้หญิงต่างชาติมาแล้วมากกว่าหนึ่งคน แถมประกันชีวิตที่ทำไว้ ก็มีเงื่อนไขชวนกังขา เช่น ถ้าเขาตายคุณได้หนึ่งแสน แต่ถ้าคุณตาย เขาได้ห้าแสน อย่างนี้ถ้ามีเรื่อง abuse เข้ามาร่วมด้วยเมื่อไหร่ ขอให้แยกทางไปโดยเด็ดขาด เพราะมีความเสี่ยงสูงที่คุณอาจจะไม่ได้กลับเมืองไทยตัวเป็นๆ
บ้านพักฉุกเฉิน:
บ้านพักฉุกเฉินโดยมาเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร ซึ่งมีรายได้ส่วนหนึ่งมาจากรัฐ และบางส่วนจากเงินบริจาคหรือผู้สนับสนุน ถ้าคุณมีลูกที่เป็นผู้เยาว์ คุณจะได้รับความคุ้มครองทั้งแม่ทั้งลูก ปกติบ้านพักฉุกเฉินจะมีกำหนดเวลาว่าคุณจะอยู่ได้นานที่สุดเท่าไหร่ ระหว่างนั้นเขาก็จะให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ จนคุณสามารถยืนด้วยลำแข้งตนเองได้
สิ่งที่คุณจะได้รับจากบ้านพักฉุกเฉินคือ
* ความช่วยเหลือเรื่องกฏหมาย ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้าคุณไม่มีเงินจำนวนมากๆ ติดตัว บ้านพักฉุกเฉินเป็นทางออกที่ดี เขาสามารถช่วยเหลือในเรื่องการขอ restraining order/protective order ให้คุณ หาทนายทำเรื่องหย่า และเรียกร้องค่าเลี้ยงดูบุตรให้คุณ ซึ่งลำพังส่วนนี้ถ้าคุณต้องจ้างทนายเองก็ไม่ต่ำกว่าสี่ถึงห้าพัน
* ให้คำปรึกษา และ Support groups
* สวัสดิการสำหรับเด็ก เช่นลูกต้องไปหาหมอ ฉีดวัคซีน ฯลฯ
* หางานทำ ตรงนี้บางคนอาจจะคิดว่า ไม่เห็นเขาทำอะไรให้เลย มีแต่ให้รายชื่อมาแล้วใหไปสมัครเอาเอง การสมัครงานนั้นถ้าคุณเคยสมัครงานคงจะทราบว่า เมื่อกรอกรายละเอียดต่างๆ ไปเรียบร้อยแล้ว จะมีหน้าท้ายๆ ที่ถามว่า คุณเข้าข่ายข้อหนึ่งข้อใดต่อไปนี้หรือไม่ เช่น คุณ disable หรือเปล่า คุณรับสวัสดิการของรัฐหรือเปล่า ฯลฯ ให้ตอบว่าคุณรับสวัสดิการของรัฐ เพราะบ้านพักฉุกเฉินรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลค่ะ ตรงนี้จะทำให้คุณได้สิทธิพิเศษ กล่าวคือผู้ว่าจ้างจะต้องพิจารณารับคุณก่อนถ้ามีผู้สมัครรายอื่นที่มี คุณวุฒิเท่าเทียมกับคุณ ดังนั้นโอกาสที่จะได้งานจะมีมากกว่าการไปหางานด้วยตนเอง
* การรักษาพยาบาล หากคุณถูกทำร้าย บ้านพักฉุกเฉินจะช่วยให้คุณได้รับการรักษาฟรี หรือเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด นอกจากนั้นบ้านพักฉุกเฉินยังจะช่วยคุณในการยื่นเรื่องขอฟู้ดแสตมป์ และเงินช่วยเหลือจากรัฐในระหว่างที่คุณยังไม่มีงานทำ
ผู้หญิงไทยหลายคนที่ตกที่นั่งแบบนี้ แต่ก็ผ่านพ้นวิกฤติในชีวิตไปได้โดยราบรื่น แม้จะมีอุปสรรคบ้างในช่วงต้นๆ แต่หลายคนก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ปัจจุบันสามารถดูแลตัวเองได้ในระดับที่น่าพอใจ มีอิสระและความเป็นอยู่ดีตามอัตภาพ ไม่มีปัญหาเรื่องอิมมิเกรชั่น ฉนั้น อย่ากังวลและยึดติดกับวัตถุมาก จนละเลยเรื่องความปลอดภัยของชีวิตตัวเองค่ะ
หมายเหตุ:
1. ถ้าได้ restraining order/protective order แล้ว หากคุณติดต่อสามีไม่ว่าจะโทรไป จดหมาย หรืออีเมล์ ฯลฯ จะมีผลทำให้ restraining order นั้นเป็นโมฆะทันที คือถ้าสามีประชิดตัว คุณจะเรียกตำรวจจับเขาไม่ได้ แต่ถ้าไม่ติดต่อเขาไป และเขาพยายามติดต่อคุณ คุณสามารถแจ้งตำรวจจับข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งศาลได้ โทษคือจำขังเท่านั้นประมาณ 7-10 วัน แล้วแต่รัฐค่ะ
2. ในกรณีที่คุณลังเล ว่าจะกลับไปดีไหม จะทำอย่างไรเพื่อให้เขาเบาๆ ลง เช่น probation หรือมาตราการอื่น ขอเรียนว่า ไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ ที่มีการการทำทัณฑ์บนระหว่างสามีภรรยา มีแต่ว่าถ้าอยู่กันไม่ได้เพราะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งถูกทำร้ายบาดเจ็บ หรือถูกทารุณจิตใจอย่างเหลือวิสัย ก็จะเป็นเหตุให้ยื่นฟ้องหย่าต่อศาลได้
การใช้กำลังเป็นสาเหตุแห่งการหย่าในเกือบทุกรัฐ คือสามารถทำให้หย่าได้โดยไม่ต้องรอ ไม่ต้องแยกทางกันก่อนเป็นเวลาเท่านั้นเท่านี้ปี ตามที่กฏหมายกำหนด ไม่เหมือนการหย่าโดยสมัครใจ การกลับไปคืนดีกันในกรณีที่เป็น domestic violence ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่เจ้าตัวต้องรับเองหากเลือกตัดสินใจแบบนั้น
3. อย่าคิดว่าเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้า เหตุแบบนี้เกิดขึ้นกับผู้หญิงอเมริกันห้าสิบเปอร์เซนต์ ไม่เฉพาะผู้หญิงต่างชาติ อย่าอายที่จะออกปากขอความช่วยเหลือ และอย่าคิดว่าจะทนเพื่อเงินค่าเลี้ยงดู หรือส่วนแบ่งของสินสมรส ผู้ชายประเภทนี้ไม่โง่ค่ะ ส่วนมาก.. โดยเฉพาะคนที่มีกิจการของตัวเอง เขารู้จักการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน เพื่อประโยชน์ของตนเอง จะได้ไม่ต้องเสียภาษีมาก ไม่มีหลักฐานว่ามีสินสมรสจำนวนมาก เวลาหย่าคุณจะได้ไปแต่ตัว (คำนี้หลายคนคงเคยได้ยินจากปากสามีตัวเอง... ยกเว้นคนที่โชคดีจริงๆ) ปล่อยให้เป็นดุลยพินิจของศาลค่ะ
หาก คุณตกเป็นหนึ่งในกลุ่มของผู้หญิงที่ถูกสามีทำร้ายร่างกาย หรือทำทารุณทางจิตใจหรือรูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยวม่ให้คุณคบเพื่อนหรือไปไหนมาไหน ไม่ยอมให้ทำใบขับขี่ หรือถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรและเป็นการฝืนใจตัวเอง เช่น บังคับให้คุณขายตัว ติดต่อดิฉันได้ค่ะ