
การ ใช้บัตรชำระค่าสินค้าและบริการในอเมริกา หลักๆ มีสองอย่างคือ บัตรเครดิต กับบัตรเดบิท ทั้งสองอย่าง มีทั้งข้อดีข้อด้อย ในตัวเอง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวินัย ในการใช้จ่ายของคุณเอง
Debit Card เวลาคุณไปเปิดบัญชีเช็ค คุณจะได้ทั้งสมุดเช็คและบัตรเดบิท ในที่นี้คือบัตรเอทีเอ็ม ที่มีตรา VISA ใช้เบิกเงินจากตู้เอทีเอ็ม และใช้รูดซื้อของได้ ในวงเงิน เท่ากับจำนวน ที่คุณมีในบัญชี บัตรนี้ใช้ซื้อของออนไลน์ ซื้อตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ ได้ทุกอย่าง
Credit Card บัตรเครดิตในอเมริกามีสองชนิดหลักๆ คือ
* Secured Credit Card คือบัตรที่คุณ ต้องเอาเงินไปฝาก เข้าบัญชีบัตรไว้ก่อน และทางผู้ออกบัตร จะพิจารณาว่า จะให้วงเงินเท่าไหร่ โดยมาก ก็จะได้เกินจาก เงินที่ฝากไว้ไม่มาก ส่วนมาก จะต้องให้คุณ ฝากเงินไว้ก่อน $1,000 และคุณจะได้ วงเงินเครดิต $1,000 หลังจากนั้น ถ้าคุณมีวินัย ในการใช้จ่าย และชำระหนี้ดี ประมาณ 6-10 เดือน ทางผู้ออกบัตรก็จะคืนเงิน $1,000 นี้ให้คุณ ทั้งนี้ไม่แน่เสมอไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง บัตรเครติตประเภทนี้ เหมาะสำหรับ คนที่ไม่เคยมีบัตรมาก่อน และเครดิตสกอร์ยังไม่มี หรือมีแต่ไม่ดี เจ้าของบัตร สามารถสร้างเครดิต ให้ตัวเองได้ โดยการชำระ เต็มจำนวน และตรงเวลา พยายามอย่าให้มียอดค้างชำระ สักพัก ทางธนาคาร ก็จะพิจารณา ขยายวงเงินเครดิตให้เอง
* Non-Secured Credit Card คือบัตรที่เป็นบัตรเครดิตจริงๆ คือ ไม่ต้องมีเงินฝาก ในบัญชีบัตร ทางผู้ออกบัตร จะพิจารณา จากรายได้ประจำ เครดิตสกอร์ และประวัติการใช้จ่าย ด้วยบัตรเครดิต ในกรณีที่ เคยมีบัตรเครดิตมาก่อน ดังนั้น ถ้าเคยมี บัตรเครดิตมาซักใบนึง การขอใบต่อไป ก็จะง่ายมาก ถ้าประวัติไม่เสีย
ถ้า คุณชำระเต็มจำนวนเสมอ ไม่เคยติดค้าง มองหาบัตรที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี และระยะการชำระยาวกว่าปกติ (ธรรมดาให้ 20 วัน แต่บางเจ้าให้ถึง 25 วัน) ถึงอัตราดอกเบี้ยจะสูง ก็ไม่เป็นไร เพราะคุณชำระเต็ม
ถ้า คุณมียอดค้างชำระเป็นประจำ หรือบ่อยครั้ง เลือกบัตรที่ดอกเบี้ยต่ำที่สุด ที่คุณสามารถหาได้ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยง ค่าธรรมเนียมอื่นๆ พยายามชำระให้ตรงเวลา และอย่ารูดจนเต็มวงเงิน ทางออกอีกอย่างหนึ่ง สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ เปลี่ยนไปใช้บัตรที่เสนอเงื่อนไข ให้โอนหนี้เดิมมาด้วย และในช่วงผ่อนชำระ 12 ดือนแรกปลอดดอกเบี้ย แต่ทั้งนี้ให้อ่านให้ดี เพราะมีบางเจ้า คิดค่าธรรมเนียมการโอนถึง 3% หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับ credit score ของคุณ ถ้าเป็นอย่างนี้ อย่าโอนหนี้เด็ดขาดค่ะ ไม่คุ้ม
บัตร ที่มีรางวัลสมนาคุณ ในอเมริกา มีบัตรประเภทนี้มากกว่า 60% รางวัลล่อใจ คือแต้มสะสม สำหรับแลกสินค้า หรือบริการ หรือคืนเป็นเงิน โดยมากบัตรประเภทนี้ จะคิดอัตราดอกเบี้ย สูงกว่าธรรมดา แต่ถ้าคุณมียอดค้างชำระบ่อยๆ วิธีนี้ไม่แนะนำ บัตรเครดิตในกลุ่มนี้ เหมาะสำหรับคนที่ ชำระค่าบัตรเต็มจำนวน ไม่มียอดค้าง หรืออย่างบัตรที่บอกว่า คืนกลับเป็นเงิน 1% ของยอด การใช้จ่ายด้วยบัตร จริงๆ แล้วก็ไม่คุ้ม ยกตัวอย่างเช่น คุณใช้เงินไปปีนึง 5,000 คุณได้คืนมา 50 แต่ค่าธรรมเนียมรายปี กินเรียบ อย่างนี้ก็ไม่ได้อะไรเหมือนกัน
บัตรเดบิทหรือเครดิต อะไรดีกว่า
บัตร เดบิทนั้น ใช้รูดซื้อของ ก็ตัดเงินจากบัญชีไปเลย มีข้อดี ตรงที่ไม่ต้องถือเงินสด หรือจ่ายเช็ค แต่อย่าคิดว่าจะไม่เป็นหนี้ เพราะถึงจะดูเหมือนว่า รูดบัตรจนเงินเกลี้ยงบัญชี ก็จบกัน ไม่เป็นหนี้แน่ๆ ไม่จริงค่ะ เพราะธนาคารหลายแห่ง ผูกเงื่อนไขมากับบัตรเดบิท โดยให้ถอนเกินจำนวนได้ เพื่อที่ธนาคาร จะได้มาเรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมเบิกเงินเกินบัญชี เอากับลูกค้า ครั้งละ 30-35 เหรียญ อันนี้หมือนคุณได้วงเงินโอดี จากธนาคารโดยไม่ได้ทำเรื่องขอ ถ้าคุณมีเงินทิ้งไว้ในบัญชีมากๆ ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ บัตรเดบิท ก็อาจจะทำให้คุณ เป็นหนี้ได้ไม่รู้ตัว ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าคุณรูดบัตร จ่ายค่าเช่า DVD ราคา 5 เหรียญ แต่บังเอิญ ใช้เงินจนเกลี้ยงเหลือไม่พอ คุณก็จะโดน ค่าธรรมเนียมเบิกเงินเกินบัญชี 35 เหรียญแถมมาด้วย หรืออย่างบางกรณี ร้านค้าบางแห่งมีการ "บล็อค" วงเงินในบัตรของคุณไว้ เวลาคุณไปรูดซื้อของ เพราะเค้าต้องการ ให้มั่นใจว่าเค้าได้เงิน (ผู้ให้บริการบัตรบางราย เค้ามีตรงนี้ให้ด้วย) เพราะฉนั้น คุณไปเติมน้ำมัน 10 เหรียญ แต่ทางปั๊มอาจจะ "บล็อค" วงเงินในบัตรคุณ 50 เหรียญ ก็เลยกลายเป็นว่าเงิน 40 เหรียญ ที่เค้ากันเอาไว้ คุณก็ไม่สามารถ เอามาใช้ได้ จนกว่าค่าน้ำมัน 10 เหรียญนั่น จะถูกหักไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็อาจใช้เวลา 1-3 วัน และที่ร้ายก็คือ เวลาคุณซื้อของ ด้วยบัตรที่โดน "บล็อค" วงเงินแบบนี้ คุณจะไม่ทราบว่า วงเงินที่สามารถใช้จ่ายได้จริง มีเท่าไหร่ ดังนั้น คุณมีโอกาสที่จะโดนชาร์จ ค่าธรรมเนียม เบิกเงินเกินบัญชี 35 เหรียญอีกที เวลาคุณเอาบัตร ไปรูดซื้อของคราวต่อไป
สรุป ว่า ไม่ว่าจะใช้บัตรประเภทไหน คุณต้องมีวินัย ในการใช้จ่าย ในการชำระหนี้ อย่าใช้เงินเกินตัว โดยที่ยังไม่รู้ว่า จะเอาที่ไหนมาจ่ายคืน หมั่นตรวจสอบ ยอดบัญชีผ่านเว็บ ของแบงค์บ่อยๆ จะได้ทราบว่า มีวงเงินคงเหลือเท่าไหร่ และจะได้ไม่ใช้เกินวงเงิน ถ้าพบว่ามีรายการ ที่คุณไม่ได้เป็นคนซื้อ รีบติดต่อแบงค์ทันที ในอเมริกา ถ้าคุณพบว่า มีปัญหาและรีบแจ้งแบงค์ โดยมาก คุณจะได้เงินคืน ภายในไม่เกินสามวัน หรือเร็วกว่านั้นค่ะ
© 2007 Lawanwadee

