รวมคำถามที่ตอบไว้ในห้องไกลบ้าน พันทิพ
วีซ่าผู้ติดตาม
คือว่าตอนนี้แต่งงานกับคนไทยที่ทำงานที่อเมริกาแล้วทำ วีซ่าติดตามไปอยู่กับเขา แต่ว่าเกิดอยู่ด้วยกันไม่ได้และต้องการจะหย่ากันที่อเมริกา น่าจะหย่าที่ดีซี น่ะค่ะ อยากทราบว่าวีซ่าติดตามก็ยังมีผลอยู่ไหมและยังคงอยู่ที่อเมริกาได้หรือเปล่า ค่ะ วีซ่าติดตามคงหมดอายุปี 2011
วีซ่าผู้ติดตามที่เป็นคู่สมรส ฯลฯ จะหมดอายุทันทีที่การหย่าสิ้นสุดค่ะ ถ้ายื่นเรื่องหย่าไปแล้ว แต่ยังไม่อยากกลับเมืองไทยก็ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนสถานะเป็นนักท่องเที่ยว หรือถ้าจะเรียนหนังสือก็ขอเป็นนักเรียน ไม่รับรองว่าจะได้ไหมนะคะ เพราะขึ้นอยู่กับหลักฐานและการเงินของผู้ยื่นด้วย
ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีแผนจะแต่งงานกับคนต่างชาติ ห้าม ไปจดทะเบียนหย่าที่สถานทูตไทย ให้ยื่นเรื่องฟ้องหย่าต่อศาลในเคาน์ตี้ ที่ตัวเองหรือคู่สมรสมีภูมิลำเนาอยู่ค่ะ

ดิฉันมีภาระเลี้ยงดูครอบครัว บังเอิญได้เจอกับคนต่างชาติและได้พบกันสองครั้งเขามาเยี่ยมหาดิฉันที่ กรุงเทพ ครั้งล่าสุดเขาออกปากชวนไปลองใช้ชีวิติกันที่เมืองนอกเป็นเวลาสามเดือนที่ ประเทศหนึ่งทางยุโรป(เยอรมัน)
ดิฉันไม่ได้หวังว่าเขาจะเข้ามาแบกภาระของดิฉันในวันนี้ แต่ดิฉันยอมรับคะว่าดิฉันหวังหลายเรื่องจากเขาในอนาคต เขาบอกว่าจะดูแลเรื่องที่พัก และชดเชยรายได้ในระหว่างที่ไปทดลองอยู่กับเขา สามเดือน แต่ดิฉันไม่ได้เอ่ยปากเรื่องนี้กับเขา ปล่อยให้เขาเป็นคนพูดเอง
สองครั้งที่รู้จักเขาดิฉันก็มีความรู้สึกชอบเขานะคะ ให้ทำอะไรก็ทำ และไม่เห็นเขามีความรู้สึกว่าอยากไปเที่ยวตาม พัทยา หรือกรุงเทพ
ดิฉัน กำลังตัดสินใจไปทดลองอยู่กับเขาสามเดือน ใครที่อยู่เมืองนอกคิดยังไงกับเรื่องนี้ ดิฉันกังวลมากเพราะไม่ทราบว่าเขาจะรับผิดชอบดิฉันอย่างไรหลังสามเดือน เขาแค่บอกดิฉันว่าจะรับผิดชอบเรื่องรายได้ในสามเดือน ดิฉันเปิดร้านเสื้อผ้ากับน้องอยู่ที่อุดร เวลาเขามาเมืองไทยที่บ้านก็เอารถกระบะไปรับกันในหมู่พี่น้อง
ดิฉัน รู้จักเขาจากการแนะนำของเพื่อนที่สนิทกัน ครั้งแรกเขามาพักที่โรงแรมพี่น้องดิฉันก็ไปรับเขาที่สนามบินอุดรจนเขาประทับ ใจ ครั้งที่สองเขาก็มาพักกับดิฉันที่บ้าน แต่เรายังไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งแค่เพียงภายนอก
ดิฉันเหนื่อยและเบื่อ กับทำงานที่เมืองไทยแล้วคะ ดิฉันจึงคิดว่าเขาจะช่วยเราได้หลังสามเดือน เราคุยกันเยอะคะเรามีบาดแผลเหมือนกันจากคนรักของเราทั้งคู่ เราโดนหักหลังเหมือนกันผู้ชายไทยเจ้าชู้คะดิฉันคิดว่าฝรั่งไม่เจ้าชู้คะ
ดิฉันกังวลอยู่สองอย่าง
กลัว เขาไม่รับผิดชอบหลังสามเดือนที่ไปทดลองอยู่ด้วยกัน ใครเคยมีประสบการณ์เรื่องทดลองกันอยู่กับฝรั่งก่อนแต่งบ้างคะแล้วเป็นอย่าง ไรบ้างเพราะดิฉันไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยมาก่อนคนอื่นเขาจะคิดยังไงถ้าเราไป สามเดือนแล้วไปกันไม่ได้ แต่คนอื่นก็บอกให้หาแฟนใหม่ที่นั่นหรือหางานทำไปเลย อันนี้ทำได้มั้ยคะ
ดิฉันยังไม่มั่นใจเรื่องการอยู่ด้วยกันสามเดือน ดิฉันควรคุมกำเหนิดอย่างไรเมื่ออยู่เมืองนอกคะ ฉีดยาไปจากเมืองไทยเลยหรือเปล่า
ดิฉันอายุ 38 ปีคะอยู่จังหวัดอุดร ตอนนี้ลงมาอยู่กรุงเทพรอทำวีซ่าคะ ส่วนคนเยอรมันเนี่ยอายุ 52 คะ
ดิฉันมีอาชีพค้าขายเสื้อผ้าที่อุดร ส่วนคนเยอรมันรับราชการที่เยอรมันคะ
ผู้ชายจากประเทศแถบยุโรปใช้วิธีนี้กันเยอะ คือขอวีซ่าสามเดือน จากนั้นก็ส่งกลับ แล้วก็พาคนใหม่ไปอีกสามเดือน เขาบอกว่าค่าทำวีซ่าถูกกว่าไปซื้อบริการจากผู้หญิงอย่างว่า... สะอาดกว่าด้วย
ขอโทษที่ตรงไปหน่อยค่ะ แต่ผู้ชายแบบนี้มีจริง และมีเยอะด้วย

นาย อ อเมริกันซิติเซ่นแต่งกับนส นิด พอสามปีนิดได้กรีนการ์ด แล้ว นาย อ เจอคนใหม่ นส แนน (โรบินฮูด) นาย อ จะหย่ากับ นิด แล้ว แต่งกับ แนนได้เลย ไหมค่ะ ต้องทิ้งระยะเวลาเท่าไหร่ หรือควรจดทะเบียนกันเมืองอื่น
เค้าว่ากันว่า ไปหย่าที่ลาสเวกัส แล้วแต่งที่เวกัสได้เลย หรือปล่าวค่ะ นางสาวแนน ควรจ้างทนายเพื่อช่วยเรื่องกรีนการ์ดด้วยหรือปล่าว
คิดว่า อ ไม่มีปัญหาเรื่องหย่ากับ นิด เพราะตกลงกันแล้ว
เพื่อนฝากถามมาค่ะ เพื่อนเราเป็น แนน
อย่าว่า ประเด็นโรบินฮูดเลยนะคะ เพื่อนเราก็ลำบากมามากแล้ว ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ
ถ้านางนิดและนางสาวแนนเป็นคนไทยทั้งคู่ รีบแต่งไปไม่ค่อยดีนะคะเพราะอิมมิเกรชั่นจะเพ่งเล็งฝ่ายชายว่า รับจ้างแต่งงานหรือเปล่า เร็วๆ นี้เองมีเคสเหมือนกันนี้เป๊ะ สัมภาษณ์ใบเขียวไม่ผ่าน และยังไม่ผ่านจนวันนี้ค่ะ
ส่วนเรื่องการไปแต่งงานที่เมืองอื่นนั้นไม่ได้ช่วยอะไร และถ้าเป็นการไปแต่งงานหรือหย่าที่ลาสเวกัส
ยิ่งจะมีผลเสียมากกว่าผลดี ถ้าทั้งนาย อ และนางสาวแนน ไม่ได้เป็น resident ของรัฐนั้นๆ
เว้นช่องว่างสักหกเดือนหรือมากกว่านั้นจะดีกว่าค่ะ ระหว่างนี้ก็ควรทำการบ้านด้วยการเช็คปูมหลังฝ่ายชายด้วยว่า ไม่มีอะไรค้างคามาจากการหย่า เดี๋ยวจะกลายเป็นลำบากกว่าเก่า

เรื่อง วีซ่าคู่หมั้นค่ะ
ขอถามผู้รู้ รบกวนช่วยตอบด้วยนะคะ Package 3 ที่ต้องเตรียมไปในวันสัมภาษณ์ วีซ่าคู่หมั้น เราจะต้องเข้าไป โหลดฟร์อม ต่างๆๆ ที่สถานฑูตต้องการ ใน web ใช่ไหมคะ หรือว่า สถานฑูตจะเตรียมและส่งให้เราเลย และเรามีหน้าที่ กรอกข้อมูลเท่านั้น.
มีเอกสารบางอย่างของแฟน ที่ต้องใช้ เช่น ใบรับรองการทำงาน และ ใบ tax refund สามารถ print จากเครื่องได้ไหมคะ (กรณีที่ส่งเป็น ไฟล์แนบมา) หรือต้องเป็นตัวจริง เท่านั้น. เคยเข้าไปอ่านใน usvisa4thai.com แล้วค่ะ แต่ไม่ค่อยเคลียร์ รบกวนผู้รู้ ช่วยตอบด้วยนะคะ..ขอบคุณมาก ค่ะ
ใช้ตัวจริงดีที่สุดค่ะ ถ้าไม่ได้ตัวจริงให้ส่งเป็น Notarized copy
ขอกรีนการ์ดขณะที่สามีกำลังจะไปอิรัก
คือว่าตอนนี้ไปอยู่ที่อเมริกาได้ประมาณเดือนนึงแล้วค่ะ โดยถือวีซ่าท่องเที่ยว ตอนมาแรก ๆ ก็กะว่าจะมาเที่ยวเฉย ๆ คือ ทีนี้พอมาถึงแล้ว แฟนที่คบกันมา 4 ปีก็กลับบอกว่าไม่อยากให้เราอยู่ที่นี่แล้วก็อยากแต่งงาน แต่เรื่องของเรื่องคือว่าแฟนเค้าเป็นทหาร กำลังจะถูกส่งตัวไปอิรักเดือนหน้าเป็นเวลา 1 ปี
ตอนนี้เท่าที่ ดิฉันเข้าใจก็คือต้องไปยื่นเรื่องขอ marriage certificate เสร็จแล้วก็ค่อยไป adjust status โดยมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ $1,000 ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกมั้ยคะ?
อีกเรื่องนึงคือเค้าจะไปเดือนหน้าแล้ว ไม่ทราบว่าจะมีผลกระทบอะไรต่อการเดินเรื่องรึเปล่าคะ? ระยะเวลานานรึเปล่ากว่าเค้าจะเรียกสัมภษณ์? ขอรบกวนความเห็นทุกท่านในห้องนี้ด้วยค่ะ ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ แล้วทุกอย่างก็ด่วนมากเลยไม่รู้จะปรึกษาใคร
ขอบคุณล่วงหน้าค่า
ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานโดยถือวีซ่าท่องเที่ยว เพราะคุณจะไม่มีหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ แถมยังจะต้องแยกกันนานเป็นปี การเป็นทหารไม่ได้ทำให้ได้สิทธิพิเศษนะคะ การปรับสถานะจะกลายเป็นปัญหาเสียเปล่าๆ และถ้าลงว่าเคสคุณติดธงแดงไปแล้ว โอกาสที่จะแก้ไขทำได้ยาก แทนที่จะทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียเงินค่าทนาย ก็อาจจะกลายเป็นต้องเสียเงินอีกหลายตังค์
ถ้าแต่งงานแล้วสามีไม่ได้ ไปไหนก็โอเค แต่ถ้าแต่งงานแล้วต้องแยกกันเป็นปี รอทำเรื่องขอวีซ่าคู่หมั้น คุณกลับไปรอวีซ่าที่เมืองไทยจะดีกว่า คุณจะได้มีเวลารวบรวมหลักฐานความสัมพันธ์ และการขอวีซ่าคู่หมั้นนั้นเท่ากับให้อิมมิเกรชั่นกรองให้ชั้นนึงก่อนว่า คุณสมบัติของเขาครบถ้วน ถึงเวลาขอใบขียวได้แน่ๆ
อีกเรื่องนึง .... ไม่ได้แช่งนะคะ แต่อยากจะฝากว่า ถ้าคุณแต่งงานไปตอนนี้ หากสามีเสียไปก่อน คุณจะไม่ได้ใบเขียวถ้าแต่งงานไม่ถึงสองปี เรื่องนี้ยังเป็นประเด็นที่ยังไม่สรุปตายตัว แต่ถ้าคุณมาตาม channel คือขอวีซ่าคู่หมั้น หรือขอวีซ่าคู่สมรส หากสามีเป็นอะไรไป ยังมีโอกาสขอใบเขียวได้ด้วยตนเองค่ะ

จดทะเบียนสมรส
ถ้าจดทะเบียนสมรสที่ไทยแล้ว จำเป็นต้องจดที่ต่างประเทศอีกไหม (usa)
ถ้าคุณผ่านกระบวนการทางอิมมิเกรชั่นจนได้ใบเขียว เท่ากับว่าการสมรสในประเทศไทยของคุณได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในอเมริกา ไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียนสมรสใหม่ (กับคู่สมรสคนเดิม) ค่ะ
การเปิดบัญชีกับ Chase ต้องทำอย่างไรบ้างคะ
ถ้าเราถือวีซ่านักเรียนอยู่ ไม่มี SSN number จะเปิดบัญชีกับ Chase ได้มั้ยคะ
ผู้ถือวีซ่านักเรียน สามารถเปิดบัญชีและทำใบขับขี่ได้โดยไม่ต้องมี SSN เอาพาสปอร์ตไปติดต่อแบงค์ได้เลยค่ะ
ปรึกษาเรื่องสุขภาพค่ะ
มีปัญหาเรื่องเรื่องสุขภาพค่ะ ต้องการคุยกับคุณแม่บ้าน เรื่องสำคัญของผู้หญิงค่ะ ขอเป็นทางเชทได้ไหมค่ะ เกี่ยวกับอะไรที่เป็นผู้หญิง ไม่กล้าคุยกับคุณหมอค่ะ ขอคุยกับคุณผู้หญิงด้วยกันดีกว่า
คุยกับหมอนั่นแหละค่ะ ดีที่สุด มีอะไรก็ถามไถ่เสียให้หายข้องใจ ดีกว่าไปเที่ยวถามตามบอร์ดที่คนตอบไม่รู้จริง พากันหลงทางเสียเงินเสียเวลาเปล่าๆ
ไม่ต้องอาย... ถ้ายังอายก็หาหมอผู้หญิง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน คุณเลือกหมอเองได้ทุกประเทศนะคะ
อยากสั่งดอกไม้ให้คุณแม่ สั่งที่ไหนดีคะ
เนื่องในโอกาสวันแม่ที่ใกล้จะถึง อยากสั่งดอกไม้ให้คุณแม่ที่เมืองไทย ไม่ทราบว่ามีเพื่อนๆพี่ๆคนไหนเคยสั่ง กับที่ไหนแล้วถูกใจที่สุดคะ ?
รบกวนขอคำปรึกษาด้วยค่ะ
รายแรกที่เปิดบริการส่งดอกไม้ให้ American Express ในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน ยังรักษาระดับการบริการคงเส้นคงวาอยู่จนทุกวันนี้
http://www.cattleya.com/

มีหนุ่มเมกันจะช่วยแต่งงานให้ได้ greencard น่ะคะ แต่ว่ามันมีปัญหานิดนึง
พอดีไปเจอหนุ่มคนนึงจะช่วยแต่งงานให้ได้กรีนการ์ด แต่เผอิญว่าเค้าตกงาน ไม่มีงานทำ แล้วเค้าอยากไปอยู่ประเทศไทย เค้าบอกว่าถ้าช่วยเค้าเรื่องไปประเทศไทยได้แล้วเค้าจะช่วยเรื่องกรีนการ์ด ที่นี่ แต่มีคนรู้จักบอกว่า จะแต่งให้เค้าช่วยเรื่องกรีนการ์ดก็ต้องดูดีๆ เผื่อเค้ามาเรียกร้องอะไรที่หลัง ก็กลัวเหมือนกัน เพราะเค้าไม่มีงานทำที่นี่ แต่ว่าเค้าสัญญาว่าเค้าจะไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่เมืองไทยก็ได้ ก็เลยไม่รู้ว่าเค้าจะช่วยเราได้รึปล่าว ตอนนี้งงมากๆ คะ ขอผู้รู้ช่วยตอบหน่อย

1. คนอเมริกันไม่สามารถขอใบเขียวให้คู่สมรสต่างด้าวได้ทุกคนไป ถ้าคุณสมบัติไม่ได้ตามเกณฑ์ ถึงแต่งงานไปก็ขอใบเขียวให้คุณไม่ได้นะคะ เช่น รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ ไม่ได้เสียภาษีมาหลายปี ฯลฯ มองในแง่ความเป็นจริง รายได้เกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับสองคนสามีภรรยาคือ $18,212 ตกเดือนละพันกว่าเท่านั้น เรียกว่าไม่พอกินสำหรับสองคน ถ้าตัวคนเดียวเขายังเอาตัวไม่รอด จะมาเลี้ยงดูคุณอีกคนจะไหวหรือ
คน อเมริกันหลายๆคน ถึงจะอยู่ในข่ายที่ยังขอใบเขียวให้คู่สมรสต่างด้าวได้ ก็ไม่ควรเอาอนาคตไปเสี่ยง เช่น เคยทำ หรือกำลังทำล้มละลาย เคนติดเหล้าติดยาถึงขั้นเข้าๆ ออกๆ สถานบำบัดเป็นว่าเล่นมาก่อน ฯลฯ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่อุปสรรคโดยตรง แต่กลายเป็นปัญหาทางอ้อมที่ทำให้หลายคนถึงทางตันมานักต่อนักแล้ว
2. การขอใบเขียวนั้นมีเงื่อนไขว่าคุณกับคู่สมรสชาวอเมริกันต้องปักหลักอยู่ใน อเมริกา ถ้าอยากจะไปอยู่เมืองไทย ไม่ต้องขอใบเขียวค่ะ ถ้าถือใบเขียวแล้วคุณจะต้องอยู่ในอเมริกาอย่างน้อยปีละหกเดือน แต่ก็ไม่ใช่ทำได้อย่างนี้ทุกปีไป เพราะมีเคสที่ไปหกเดือนอยู่หกเดือน พอขึ้นปีที่สาม ตม ส่งกลับบ้านเฉยเลย ก็มีให้เห็นมากมาย
3. การจ้างแต่ง หรือช่วยแต่งเพื่อให้ได้ใบเขียวนั้นผิดกฏหมาย โทษคือเนรเทศสถานเดียว ส่วนอเมริกันซิติเซ่นถ้าถูกจับได้ โทษสูงสุดคือจำคุกห้าปี และค่าปรับสูงสุดสองแสนห้าหมื่นเหรียญ แต่ในกรณีนี้ปัญหาที่เจอบ่อยคือ หลังแต่งงาน ฝ่ายคนต่างด้าวจะโดนรีดไถทุกรูปแบบ เพราะถูกขู่ว่าจะหย่าและแจ้งอิมมิเกรชั่นยกเลิกการเป็นสปอนเซ่อร์วีซ่า ขนาดคนที่แต่งงานกันเพราะรักเพราะชอบกัน พอน้ำผึ้งขมยังแทบจะฆ่ากันให้ตายไปข้างนึง นี่คุณเป็นคนแปลกหน้าสองคน คิดว่าจะทำดีใส่กันไปได้สักกี่มากน้อย
4. อิมมิเกรชั่นเจอเรื่องแบบนี้จนชำนาญ เห็นอะไรนิดนึงเขาก็ตอบได้แล้วว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง การจะรักษาสถานะว่าแต่งงานกันจริง คุณต้องสร้างหลักฐานร่วมกันมากมาย เช่น มีบัญชีแบงค์เป็นชื่อร่วม มีประกันเป็นชื่อร่วม ฯลฯ คนไทยที่รู้จักหลายคนยังสัมภาษณ์ใบเขียวไม่ผ่านมาจนจะสองปีแล้วก็มี
การ ได้ใบเขียวโดยการแต่งงานนั้นดูเหมือนกับง่าย แต่ความจริงแล้วเป็นวิธีที่เสี่ยงและยากที่สุด ที่ว่าเสี่ยงและยากนี้คือถ้าคุณไม่รู้จักเขาดี ก็เหมือนแต่งงานกับคนแปลกหน้า พอมารู้จักเขาจริงๆ หลังแต่งงานก็กลายเป็นว่ามีแต่ปัญหา นักเรียนไทยทั้งผู้หญิงผู้ชายที่แต่งงานเพราะอยากได้ใบเขียว กลายเป็นฮู้ดไปไม่รู้จักเท่าไหร่ ก็เพราะไม่รู้แม้กระทั่งว่าปูมหลังของแฟนตัวเป็นยังไง พอแต่งไปแล้วถึงมาเจอว่า แฟนไม่ได้เสียภาษีเลยหลายปีแล้ว เคยทำล้มละลายยังถูกหักเงินเดือนใช้หนี้ หรือเพิ่งยื่นขอทำล้มละลาย หรือค้างจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตร หรือเคยเข้าๆออกๆ สถานบำบัดมาก่อนแต่ก็ยังหวนกลับไปหาวงจรเดิมๆ ฯลฯ สรุปว่าใบเขียวก็ไม่ได้ วีซ่าก็ปล่อยขาดไปแล้วเพราะคาดหวังว่าจะขอใบเขียวได้
ถ้าจะแต่งงาน เพราะรักเพราะชอบก็แต่งไป ไม่มีใครว่าอะไร แต่ถ้าจะแต่งเพื่อเอาใบเขียว ไม่แนะนำ และไม่ว่าจะแต่งเพื่ออะไร ก่อนแต่งสอบประวัติเขาเสียก่อน หรือถ้าจะให้ดีก็คือแลกเครดิตรีพอร์ตกันดูนั่นเลย เวลาปัญหาสารพันมันเดินเข้าประตูมา ต่อให้รักกันมาก่อนมากมายขนาดไหน ความรักก็บินออกทางหน้าต่างได้เร็วปานสายฟ้าแลบค่ะ

การกรอกที่อยู่ใน I-751 Remove Conditions on Residence
ตอนนี้ดิฉันอยู่ที่ Texas ค่ะ กำลังจะยื่นเรื่องขอ remove conditions on residence ค่ะ แต่ติดปัญหาเรื่องการกรอกที่อยู่ เพราะที่อยู่ยังอยู่ที่ Oregon เคยเปลี่ยนที่อยู่ทางอินเตอร์เน็ตแล้ว แต่ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไร เพราะจดหมายจาก uscis ยังส่งไปที่ Oregon เหมือนเดิม พึ่งจะทราบว่าที่อยู่ยังไม่ได้เปลี่ยนตอนได้รับจดหมายเตือนให้ไปเปลี่ยน สถานะนี่เอง พอถึงตอนนี้ดิฉันได้แต่โทษตัวเองที่ไม่ได้โทรไปสอบถามทาง uscis ให้แน่ใจ
ดิฉันจะทำยังไงดีค่ะ ควรกรอกแบบฟอร์มยังไงดี เพราะเอกสารหลักฐานทุกอย่างเป็นที่อยู่อยู่ใน Texas แต่ข้อมูลของดิฉันที่ uscis มี คือดิฉันยังอยู่ที่ Oregon เข้าไปอ่านในเวบไซต์ของ uscis แล้วกลุ้มใจจังกลัวว่าตัวเองจะมีปัญหา ขอคำแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
การแจ้งย้ายที่อยู่นั้น ควรทำให้ครบสามขั้นตอนคือ
ส่งฟอร์ม AR-11 (ดูรายละเอียดที่นี่ http://www.uscis.gov/portal/site/uscis/menuitem.5af9bb95919f35e66f614176543f6d1a/?vgnextoid=c1a94154d7b3d010VgnVCM10000048f3d6a1RCRD&vgnextchannel=db029c7755cb9010VgnVCM10000045f3d6a1RCRD)
แจ้งเปลี่ยนที่อยู่ออนไลน์
และโทรไปแจ้งที่ customer service ของอิมมิเกรชั่น
ถ้าทำครบทั้งสามรายการนี้รับรองไม่มีพลาดค่ะ
เวลาคุณจะยื่น I-751 ให้ทำทั้งสามข้อข้างบนนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน
จากนั้นค่อยยื่น I-751 โดยใช้ที่อยู่ใหม่ค่ะ
^^ขอคำแนะนำเรื่อง ศูนย์ให้คำปรึกษาการศึกษาต่อ USA^^
พอดีสนใจจะไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ USA ภายในต้นปีหน้า
ขอ สอบถามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในที่นี้ทุกท่านว่า มีที่ไหนเป็นเหมือน ศูนย์ให้คำปรึกษาเพื่อศึกษาต่อต่างประเทศ (โดยเฉพาะเรียนต่อ USA) โดยตรงเลยมีมั้ยครับ ...คล้ายๆครูแนะแนว
***ขอแบบ Non profit organisation ก็จะดีมากเลย***
เข้าใจอยู่ครับว่าหาก Service ดี ถ้าจะมีค่าธรรมเนียม/ ค่าดำเนินการ บ้างก็ไม่ว่ากันหรอก
แต่ ไม่ชอบ พวกที่ให้คำปรึกษาแล้วมักจะ Hard Sell/ Up Sell/ Cross Sell ซ้า หรือแบบมีผลประโยชน์แอบแฝง(เช่น เค้ามี contract กับ University บาง U. ซึ่งไม่ใช่ U. ที่เหมาะสมกะเราเลย แต่ก็เชียร์ออกนอกหน้า เพื่อหวังผลประโยชน์...ไรงี้)....ไม่ชอบอ่ะคับ
ขอบคุณครับ
ยุคอินเตอร์เน็ทนี่คุณหาข้อมูลด้วยตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งเอเย่นต์ค่ะ เอเย่นต์เขาไม่ได้เป็นตัวแทนทุก U ดังนั้นเขาก็ต้องเชียร์สินค้าที่เขามีเป็นธรรมดา เอเย่นต์ทุกแห่งไม่ว่าจะคิดค่าบริการหรือไม่ เขาได้เปอร์เซนต์จากค่าเทอมของคุณอยู่แล้ว และสาวๆ ที่เชียร์ให้คุณไปเรียนที่โน่นที่นี่ หลายๆ คนไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ไปเรียน
ส่วนตัว แล้วที่ดิฉันไม่ค่อยชอบเอเย่นต์อย่างนึงคือ พวกนี้ให้คำแนะนำเรื่องการขอวีซ่าผิดๆ บ่อยครั้งเจอว่าเอเย่นต์แนะนำให้คุณโกหกในใบสมัครขอวีซ่า เช่นกรณีที่เคยมีพี่น้องนามสกุลเดียวกันไปเป็นฮู้ดอยู่ เป็นต้น เพราะยังไงๆ กงสุลก็รู้อยู่ดี คราวนี้เลยทำให้การขอวีซ่ายากหนักเข้าไป ในบางรายบอกได้คำเดียวว่าเปลี่ยนเข็มไปประเทศอื่นดีกว่า
โชคดีค่ะ...

แต่งงานในต่างแดน
ก้อเป็นคนหนึ่งที่หาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ บังเอิญหลงรักกับคนอเมริกาซึงก็เป็นคนดีของสังคมคนหนึ่งเลยตกลงจะแต่งงานกัน แต่มันไม่ง่ายเลย ที่จะจดทะเบียนแบบเรียบง่าย ต้องจ้างทนายในประเทศที่คิดราคาที่แพงมาก ทำงานมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องจ่ายเขาหมด ถ้ามีคนรู้เรื่องว่าต้องทำอย่างไรรบกวนช่วยตอบด้วยค่ะ
แต่งงานในนิวยอร์คหรือรัฐไหนๆ ก็ไม่ต้องใช้ทนายนะคะ คุณกับแฟนไปติดต่อที่ที่ทำการเคาน์ตี้ในเขตบ้านคุณ ขอไลเซ่นส์แต่งงาน หลักฐานที่ต้องนำไปแสดงคือพาสปอร์ต หรือใบขับขี่ ถ้าเคยแต่งงานมาก่อนก็ต้องมีใบหย่า ค่าธรรมเนียมก็ $40 ไลเซ่นส์นี้มีอายุ 60 วัน พอได้มาแล้วคุณต้องไปหาบาดหลวงให้ประกอบพิธี ค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็ไม่น่าจะเกิน $250 จากนั้นบาดหลวงจะเซ็นชื่อในไลเซ่นส์และส่งไปที่เคาน์ตี้ คุณจะได้รับทะเบียนสมรสทางไปรษณีย์หลังจากนั้นไม่เกินสองอาทิตย์ค่ะ
ดูรายละเอียดที่นี่ http://www.health.state.ny.us/vital_records/married.htm
มี เรื่องเดียวที่อาจจะเป็นปัญหาในกรณีของคุณคือเรื่องอิมมิเกรชั่น คุณทำการบ้านมาดีหรือยัง สอบประวัติแฟนมั่งหรือเปล่าว่าเขาค้างจ่ายภาษีมั่งไหม รายได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่อิมมิเกรชั่นกำหนดหรือเปล่า เคยทำล้มละลายหรือเปล่า เขาเคยมีประวัติทุบตีแฟนหรือเมียถึงขั้นขึ้นโรงพักหรือเปล่า
ถ้าที่ว่ามานี้ผ่านหมด ก็ไม่น่าจะมีปัญหาตอนยื่นเรื่องขอใบเขียว แต่ถ้าคุณวีซ่าขาดก็ควรให้ทนายยื่นเรื่องให้ โชคดีค่ะ
ชำแหละ Agent Work and Travel
รู้ไว้ก่อนตัดสินใจเลือก Agent โครงการ Work and Travel
ดิฉัน เป็นบุคคลหนึ่ง ที่เข้าร่วมโครงการWork and Travel มาเมื่อเดือนเมษายนนี้ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ดิฉันตัดสินใจไป เพราะโดยส่วนตัวแล้วคิดว่ามันเป็นโครงการที่ดีที่เปิดโอกาสให้ดิฉันได้ไป สัมผัสอเมริกา แต่ครั้งนี้มันแตกต่างจากครั้งแรกที่ฉันไปเป็นร้อยเท่า เพราะครั้งแรกที่ไป ฉันไปที่รัฐ California และทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดที่ รีสอร์ทในGrand Canyond ที่นี้ให้รายได้ดิฉัน 6.5 เหรียญต่อชั่วโมง แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใด นายจ้างใจดีและยุติธรรมมากๆ เป็นคนเดิมกับที่ฉันเจอตอนเข้างานJob Fair ที่Agent ในเมืองไทยจัดให้ ซึ่งเอเจนต์นี้ใหญ่ และมีชื่อเสียงดี และมีHead office อยู่ที่อเมริกาด้วย แต่ค่าโครงการค่อนข้างแพง ทำให้ในปีที่สอง ดิฉันเปลี่ยน Agent เพราะหลงเชื่อกับคำโฆษณาที่ บอกว่าจะให้ไปทำงานที่คาสิโน เขาให้รายได้กว่า 10 เหรียญต่อชั่วโมง แต่พอดิฉันไปเข้าไปถึงที่อเมริกาจริง ดิฉันและเพื่อนอีกสองคน กลับได้ไปทำงานเป็นHouse Keeping ที่โรงแรมในคาสิโน รัฐเนวาดา และได้ค่าแรง 7 เหรียญต่อชั่วโมง แต่แล้วเหตุการ์ณ จริงที่ท้าทายความรู้สึกสงสัยในตัวฉันก็เกิดขึ้นเมื่อ ดิฉันถูกให้ออกจากงานที่ทำหลังจากทำงานได้สองสัปดาห์ เพราะสาเหตุว่า ดิฉันไม่สามารถสื่อสารกับคนอเมริกันได้ดีพอ แล้วเขาก็เอาเด็กไทย อีกกลุ่มหนึ่งที่เดินทางมาถึงหลังฉันเข้าเสียบแทน ฉันและเพื่อนนั่งเครียดอยู่หลายชั่วโมงเพราะเราไม่มีงานทำ และตัดสินใจโทรกลับมาที่ Agentในเมืองไทย ซึ่งทางเอเจนต์รับปากว่าจะเคลียร์ให้ แต่เรื่องก็ผ่านไปสองวัน ฉันโทรกับไปที่เอเจนต์เมืองไทย เขาให้ฉันโทรกลับไปที่หา ตัวแทนที่อเมริกาอีกแห่งหนึ่งซึ่งเขามีงานรองรับให้ เมื่อดิฉันโทรไป ก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องแต่จับประเด็นได้ว่าเขาหางานให้ใหม่ รอไปจนจะครบสัปดาห์ทางเอเจนต์ที่อเมริกาโทรมาบอกว่าเขาหางานให้แล้วอยู่ที่ โรงงานทำสบู่ในรัฐ Minisota โอ้พระเจ้าจอร์ท มันไกลกันมาก จากที่ฉันอยู่ แต่ถ้าฉันไม่เอางานนี้ก็ไม่มีงานทำอยู่ดี ฉันและเพื่อนตัดสินใจหางานพาร์ทไทมทำที่ร้านไอศกรีมในรัฐเดิม เพราะค่าเดินทางแพงมาก ทำให้พวกเรามีชีวิตอยู่ได้แต่ไม่ดีเท่าไรเพราะถูกคนอินโดที่เป็น ซุป ด่าทุกวันว่าเราโง่ เราเจ็บใจมาก เพื่อนฉันนั่งร้องไห้มาหลายวัน จนกระทั่งเราปรับตัวได้และชินชากับคนอินโด หลังจากกลับมาเมืองไทย ฉันคิดอยู่เสมอว่าทำไมฉันถึงได้หลงเชื่อคนง่ายๆกับคำโฆษณาหลอกลวง ว่างานดีเงินดีในคาสิโน และฉันคิดว่าฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเอนเจนต์ทำได้ยังไงและวันนี้จะมาชำแหละ พฤติกรรมของเอเจนต์ ไร้จริยธรรมว่าเขาทำได้อย่างไรที่นำพวกเราไปทิ้งไว้ที่อเมริกา
จากภาพที่แนบมา
เรามาดูที่ฝั่งซ้ายในเมืองไทยก่อนว่ากระบวนการขอวีซ่าเป็นอย่างไร
แผน ภาพแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาต้องไปขอซื้อ เอกสารDS 2019 จากบริษัทที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล เพื่อนำมาขอวีซ่า J1 ในเมืองไทย และองค์กรที่เขาเข้าร่วมด้วยเป็นเพียงบริษัทจัดหางานเท่านั้น บริษัทนี้จะจัดงานจำพวกแรงงานจำนวนมากๆเป็นหลัก ส่วนงานในคาสิโนเขาจะมีไม่เยอะ แต่จะใช้วิธีเวียนงาน เช่นเรามาทำได้ 2 สัปดาห์ ก็เอากลุ่มใหม่เข้ามา แล้วโอนเราไปทำอย่างอื่น ลองคิดดูสิ ว่าเด็กทั่วโลก หลายร้อยคน ต้องเจอแบบนี้ ใครซวยเหมือนเราจะตกหล่นคือ งานที่โอนไปใหม่ไม่มีให้ ต้องไปหางานเอง หรือรองานใหม่
รายได้ที่เราได้ รับก็โดนหัก เช่น คาสิโนให้ 8 เหรียญ แต่เขาหักเข้าบริษัทจัดหางาน 1 เหรียญ พอมีปัญหาในกรณีของฉัน ฉันพูดตามตรงเลยว่า ฉันไม่รู้จะพึ่งพาใคร เพราะเอเจนต์ที่เมืองไทยไม่มีอำนาจหางานใหม่ เขาแค่ส่งเรามาอย่างถูกกฎหมายเท่านั้นเอง นี้ไม่นับว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุหรือมีปัญหาวีซ่า เราจะติดต่อที่ไหน กับใครอีกด้วย ปัญหาเหล่านี้ ทางเมืองไทยไม่ต้องรับผิดชอบเลย นี้แหละที่ดิฉันเรียกว่าลอยแพ ไร้จริยธรรมคะ
โบราณว่า “ดูวัวให้ดูที่หาง ดูนางให้ดูที่แม่” คำโบราณนี้ยังคงใช้ได้จริงกับยุคโลกไร้พรมแดน
หากตัดสินใจ อยากไปWork ให้ไปเช็คที่บริษัทแม่นะคะว่า สามารถออก DS 2019 ได้เองหรือเปล่า มีปัญหาติดต่อที่ไหน office อยู่ที่ไหน
นาย จ้างเป็นอย่างไร อย่างหลงชื่อแต่คำโฆษณา ลองสังเกตว่า เขาจะใช้คำว่า จองงาน ไม่ใช่คำว่าได้งาน เขาไม่การันตีว่าเราได้ทำงานนั้นกี่วันคะ
ทาง ที่ดีก่อนเดินทางไปควร พบงานกับนายจ้างตัวจริง เหมือนในปีแรกที่ฉันไป เพราะเราได้พูดคุย รู้จักเขาก่อน ไม่ใช่ไปตายเอาดาบหน้า มันเสี่ยงมากคะ
หวังว่า ข้อมูลที่ให้จะช่วยให้เด็กหลายๆคนตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้นนะคะ โชคดีคะ
โครงการ Work & Travel นี้ ผู้ผลักดันให้เกิดขึ้นมา คือนักการเมืองที่มีนายทุนใหญ่ที่ต้องการเลี่ยงกฏหมาย แรงงาน และกิจการนั้นๆ เป็นกิจการที่ต้องการ non-skilled labor จำนวนมาก เช่น รีสอร์ท สวนสนุก ฯลฯ ข้อได้เปรียบของนายจ้างคือ ได้แรงงานที่พูดภาษาอังกฤษได้ ค่าแรงถูกคือต่ำสุดตามที่กฏหมายกำหนด ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องสวัสดิการ ไม่มี healthcare, insurance, 401K, ฯลฯ เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่ใครๆ ก็อยากมา ดังนั้นเรื่องการตลาดจึงเป็นเรื่องง่าย ทำให้คนจำนวนมากสมัครเข้าโครงการ เมื่อมาแล้วก็เหมือนกับซื้อหวย คือโชคดีไปเจอคนดี จังหวะเรื่องภาวะเศรษฐกิจดี ทำเลที่ตั้งของกิจการ ฯลฯ ก็ดีไป แต่มากกว่าครึ่งที่มาแล้วประสบปัญหา ถูกปล่อยเกาะ ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานใดได้
วีซ่าสำหรับโครงการแลก เปลี่ยนนี้ ผู้มีอำนาจเต็มในทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องวีซ่า คือสปอนเซ่อร์ของคุณ คนที่จะมาเป็นสปอนเซ่อร์ได้คือ ต้องได้รับ contract จากรัฐบาล มีเงินประกันวางไว้ ฯลฯ โดยทั่วไปตามเงื่อนไขคือ ถ้าคุณออกจากโครงการก่อนกำหนด ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร เขาจะต้องแจ้ง DHS ภายใน 5 วัน เพื่อยกเลิกวีซ่าของคุณ มิฉนั้นเขาจะได้รับผลกระทบคือ เงินค่าปรับ และประวัติเสียซึ่งอาจจะทำให้ไม่ได้รับการพิจารณาต่อสัญญา ฯลฯ
เอเย่นต์ ทางเมืองไทยส่วนใหญ่เห็นแก่ตัวมาก ไม่ได้มีความรู้ หรือเข้าใจเรื่องเงื่อนไขของโครงการ รวมทั้งเรื่องสถานะของวีซ่าเลย พูดอะไรออกไปไม่สนใจขอให้ขายโปรแกรมได้ และเรื่องพ้นตัวไปเท่านั้น ไม่ได้คำนึงผลกระทบที่จะเกิดกับตัวพวกคุณในวันข้างหน้า เอเย่นต์ในเมืองไทยมีหน้าที่ทำ marketing เท่านั้น ไม่มีสิทธิมายกเลิกวีซ่าของคุณ แต่เท่าที่เห็น ไม่เคยมีรายไหนช่วยคุณต่อรองกับเอเย่นต์ทางอเมริกาเลย
การ เข้าโครงการประเภทนี้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการประสบการณ์ ชอบผจญภัย ทนลำบากได้ ไม่เหมาะสำหรับคนที่หวังเก็งกำไรค่ะ ความเห็นของดิฉันเอง น่าจะเรียนให้จบแล้วขอมาทำงานในลักษณะ intern จะดีกว่าค่ะ

สอบถามเรื่องขอวีซ่าไปอเมริกาของคนอิรัก
ขอทราบรายละเอียดหน่อยครับว่าถ้า เป็นคนอิรักอยากจะเข้าไปอยู่ที่อเมริกาประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ( ท่องเที่ยว) จะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้วีซ่านี้ครับ แล้วจะเป็นไปได้ไหมครับว่าถ้าให้เค้ามาทำเป็น resident ที่ไทยก่อน แล้วค่อยไปขอทำวีซ่า อเมริกา
อยากทราบรายละเอียดด่วนครับ ใครทราบช่วยหน่อยนะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับบ
ไม่ต้องทำอะไรเลย คือเสียเงินเปล่าค่ะ ยังไงๆ กงสุลก็ไม่ออกวีซ่าให้แน่ๆ ตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 อเมริการะงับการออกวีซ่าชั่วคราวให้อิรัคกับอิหร่าน และถอนเจ้าหน้าที่สถานทูตกลับหมด ส่วนผู้ขอวีซ่าถาวรที่ยื่นค้างไว้นั้น pending ไม่มีกำหนด
คนที่มาจากสองประเทศนี้และได้วีซ่าอเมริกา นั้น คือคนที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในประเทศอื่นนานนับสิบๆ ปีเท่านั้น ส่วนคนที่ได้ใบเขียวแล้ว ไม่สามารถทำซิติเซ่นได้ เรื่องค้างมาตั้งแต่ 9/11 ค่ะ
ขอความช่วยเหลือ วีซ่า K3 USA ค่ะ
เพิ่งแต่งงานกับสามีชาวเมกันค่ะ และกำลังจะทำเรื่องขอวีซ่าไปอยู่ที่โน่น แต่ไม่ทราบว่าเวลาแปลเอกสารจากทางบริษัทรับแปลแล้ว เราต้องไปให้กรมการกงศุลรับรองอีกรึเปล่าคะ ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ ก่อนที่เราจะส่งเอกสารการแปลทั้งหมดไปให้กับสามีทางโน้นทำเรื่องน่ะคะ รบกวนผู้มีประสบการณ์ช่วยเหลือหน่อยนะคะ และไม่ทราบว่าพอจะมีเว็บไหนที่พอจะแนะนำให้สามีเปิดเข้าไปอ่านดูได้บ้างคะ พอดีว่าไม่เคยด้วยกันทั้งคู่ค่ะ.... ขอความกรุณาช่วยด้วยนะคะ
เอกสารที่ไปจ้างเขาแปล คุณควรถามเขาให้ชัดเจนว่าเขานำไปให้กรมการกงสุลรับรองด้วยหรือเปล่า ถ้าบริการของเขาคือแปลอย่างเดียว คุณก็ควรนำเอกสารไปรับรองที่กรมการกงสุลเสียก่อน ถุ้าเขารับยื่นกรมการกงสุลให้ด้วย คุณก็ไม่ต้องทำอะไร
ก่อนจะ ดำเนินการแปลเอกสารตรวจทานเอกสารต้นฉบับภาษาไทย เช่นสูติบัตร พาสปอร์ต ชื่อพ่อแม่ ฯลฯ ให้ดีก่อนว่ามีอะไรขัดแย้งกันเองไหม เช่น ชื่อสะกดไม่เหมือนกัน วันเดือนปีเกิดผิด หรือสถานที่เกิดผิด ถ้ามีอะไรขัดแย้งกันก็แก้ไขทำใหม่เสียให้ถูกต้องก่อน แล้วค่อยนำไปแปลและรับรอง จะได้ไม่มีปัญหาต้องส่งกลับไปกลับมาทีหลังนะคะ
อยากรู้เรื่อง การดูดกัญชา ของชาวอเมริกัน
คือ สงสัยมานานแล้ว มีเพื่อนเป็นชาวอเมริกัน คือ เรียนอยู่ที่เดียวกัน
ทีนี้ทุกคนเค้าดูดกัญชากันหมดเลย ทั้ง ชาย และ หญิง
คือ เค้าบอกเลยว่า เค้า สูบกัญชา
ซึ่งเราไม่รู้ และไม่เคยถามว่า กัญชาที่ดูดกันนี่ มันผิดกฎหมายของอเมริกาหรือเปล่า
แล้ว สำหรับสังคมอเมริกันแล้ว การดูดกัญชา ถือว่า เป็นเรื่องปกติ หรือเปล่า
หาซื้อได้เลยโดยที่ไม่ผิดกฎหมายหรือหรือยังไงค่ะ
เพราะไม่กล้าถามกลัวเค้าเอง เพราะเห็น ดารา นักร้อง ดังๆของที่นี้หลายคน ชอบถูกจับ หรือถูกแอบถ่ายภาพ ขณะ พี้กัฐชา เมากัญชา
คือ ไม่ใช่อะไรหลอกคะที่ถาม พอดีกำลังคุยๆ กำลังสนใจคนนึงมากกว่าเพื่อน เป็นจีนเกิดและโตที่อเมริกา แต่พอเค้าบอกเรา ว่าเค้า สูบกัญชา เราเลยมาคิดๆดู ว่าคบๆไปแล้วเรากลัวสักวันเค้าจะมีอาการหลอนๆ คือ กลัวว่ามันจะน่ากลัว เหมือนคนติดยา ทั่วๆไปที่ อาการแปลกๆ อะไรทำนองนั้น อีกอย่าง ถ้าบอกเค้าไม่ไปว่าเราไม่ชอบเค้าแล้วเพราะเค้า สูบกัญชา มันจะประหลาดหรือเปล่า เพราะ เราไม่รู้สังคมของที่อเมริกา ยอมรับกับคนสูญชา มากน้อยแค่ไหน เพราะทีแรก คิดว่าแค่สูบบุหรี่ เฉยๆ สำหรับเราก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนทีนี้ เรื่อง กัญชา มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราก็คิดว่า เราก็ต้องยอมรับได้ ว่ามันเป็น ปกติเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่
ยังไงรบกวนชี้แจงด้วยนะค่ะ ขอบคุณคะ
จขกท ลองศึกษาดูนะคะ http://norml.org/index.cfm?wtm_view=&Group_ID=4525
บทลงโทษนี้เป็นของรัฐ CA ค่ะ

(สับสน) หลงรักเพื่อนต่างชาติที่คุยอยู่ เรื่องน่าอายที่เราไม่รู้จะหาทางออกเช่นไร
ไม่รู้จะทำยังไงดีค่ะตอนนี้ สับสนในตัวเองจริงๆ จากที่จะหาเพื่อนต่างชาติไว้คุยฝึกภาษามาตอนนี้ หลงชอบเข้าให้อย่างจัง
จะ ทำยังไงต่อดี เขาเห็นเราเป็นเพื่อนแท้ๆ แต่เรากลับคิดไม่ซื่อแบบนี้ เขาเปิดเผยกับเราหลายเรื่องโยเฉพาะเรื่องที่คุยกับสาวไทยหลายคน ที่เขาอ้างว่าเป็นเพื่อนเหมือนเราสิน่า
บ่อยครั้งที่คุยเอ็มกันแล้ว เขาไม่ทัก ไม่ตอบเอ็มเราทำให้เราน้อยใจแทบทุกครั้ง พลางคิดไปว่าเขาคงคุยกับสาวๆ คนอื่นอยู่ก็แทบจะไม่อยากคุยกับเขาต่อ
ตอนนี้จะทำไงดีหน่อ เรารู้สึกสับสนจริงๆ จะคุยกับเขาต่อดีและตัดความคิดบ้าๆ นี้ออกไปให้หมด เราจะทำได้ไหม หรือ เลิกคุยกับเขาไปเลย ทั้งๆ ที่คุยกันมานานแล้ว
ปล. กระทู้นี้อาจไร้สาระสำหรับใครหลายคน แต่ใครที่เคยเป็นเหมือนเราจะรู้ค่ะว่ามันทรมารมากๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าในเน็ตคนจะปั้นแต่งให้ตัวเองโก้หรูขนาดไหนก็ทำได้ แต่ใจเรามันไม่รักดีเอง
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะที่แวะเข้ามาอ่าน หากใครมีคำแนะนำหรือเคยเจอสภาพเหตุการณ์แบบนี้เกิดกับตัวเองก็ขอให้ร่วมแบ่งปั่นด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
จขกท ไม่ใช่คนแรกที่เป็นแบบนี้ คือรู้ทั้งรู้ว่าเขาคุยกับสาวไทยหลายคน หรืออาจจะมีสาวปินส์ สาวเวียตนาม ฯลฯ อีกนับไม่ถ้วน ก็ยังหลงละเมอเพ้อพกไปได้มากมาย
มีแฟนคลับจาก เมืองไทยหลายคนมาปรึกษาปัญหาหัวใจ เรื่องเกิดขึ้นในทำนองเดียวกันกับ จขกท นี่แหละ แต่พอเจอตัวเข้ายอมไปนอนกับเขาเสียง่ายๆ ไม่รู้ว่าอยากลองหรือหวังจับ หรือทั้งสองอย่าง ผลคือ พอเขากลับไปเขาหายไปเลย ไม่ออนเอ็มให้เห็น หรือเปลี่ยนสกรีนเนมใหม่ก็ไม่ทราบได้ ประเภทหายไปเฉยๆ ยังดี เพราะมีบางคนได้ของที่ระลึกไว้ดูต่างหน้าคือพบว่าตัวเองท้อง...
ถ้าไม่ได้จดทะเบียนสมรส แล้วท้องขึ้นมาโดยที่ตัวอยู่กันคนละประเทศแบบนี้บอกได้เลยนะคะ ยากค่ะ.........................
ขอวีซ่าอเมริกาไม่ผ่าน 2 ครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่ามีแม่อยู่ที่นั่น......ใครมีคำแนะนำช่วยทีค่ะ
เรื่องของเรื่องคือ หนูเคยไปขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกามาครั้งหนึ่ง ตอนปีหนึ่ง (ตอนนี้เพิ่งเรียนจบค่ะ) เพราะอยากไปเที่ยว ไปเยี่ยมคุณแม่และน้องที่นั่น
คือแม่หนูไปอยู่ที่นู่นได้เกือบ 10 ปีแล้วค่ะ และมีครอบครัวใหม่อยู่ที่นั่นเลยได้ green card เรียบร้อย
แต่ วีซ่าที่หนูขอไม่ผ่านเพราะเค้าบอกว่าหนูไม่มีความมั่นคงที่ประเทศไทยเลย เพราะหนูอยู่กับคุณย่า เงินที่ได้รับก็ได้มาจาก แม่ส่งมาให้ เค้าบอกว่าทุกอย่างหนูมีพร้อมอยู่ที่อเมริกาหมดเลย หนูอาจไปแล้วไม่กลับมาเมืองไทย อีกครั้งหนูจะไป work& travel ครั้งนี้หนูก็ไม่ผ่าน
เพราะพี่ที่เอเจนซี่บอกว่าไม่ต้องเขียนว่ามีแม่ อยู่ที่นั่น หนูไม่รู้ก็เลยทำตามที่พี่เค้าบอก พอตอนไปสัมภาษณ์วีซ่า เค้าก็มีข้อมูลเก่าของหนูอยู่แล้ว เค้าก็เลยบอกหนูว่าหนูพยายามปิดบังข้อมูล ก็เลยไม่ได้อีก
ตอนนี้หนู เรียนจบแล้ว แต่อยากไปเรียนภาษาที่นั่นสัก 6 เดือน แล้วจะกลับมาสมัครแอร์ที่นี่ ไม่ได้อยากไปอยู่ที่นั่นถาวร เพราะอยากกลับมาอยู่กับคุณย่า
หนูอยากรู้ว่าใครพอจะแนะนำได้บ้าง ว่าหนูควรจะทำยังไง แค่อยากขอวีซ่าไปเรียนภาษาเฉยๆ เพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง ถ้าขอวีซ่าไปเรียนมีเปอร์เซ็นต์จะได้ไปมากกว่ารึป่าวค่ะ แต่ต้องเตรียมตัวและเอกสารอย่างไร
รบกวนใครที่พอจะทราบช่วยบอกหนูด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ให้คุณแม่รีบทำซิติเซ่นเสีย จากนั้นก็ทำเรื่องขอใบเขียวให้คุณ ส่วนถ้าไม่อยากอยู่อเมริกาเป็นการถาวร ถึงตอนนั้นคุณสามารถทำเรื่องยกเลิกใบเขียวได้ และเมื่อทำเรื่องยกเลิกใบเขียวแล้ว คุณก็จะมีสิทธิได้วีซ่าท่องเที่ยวสิบปี
แต่ ณ ปัจจุบัน คุณไม่สามารถจะขอวีซ่าชั่วคราวประเภทไหนๆ ได้ เพราะว่า...
หนึ่ง คุณมีแม่ที่ถือใบเขียว ซึ่งหมายความว่าคุณ qualified ที่จะได้วีซ่าถาวร และ
สอง คุณไปโกหกเอาไว้ตอนสมัคร WT ซึ่งอันนี้มีผลเสียกับประวัติของคุณอย่างมาก คือจะทำให้คุณขอวีซ่าชั่วคราวประเภทไหนๆ ไม่ผ่านเลย

วีซ่าผู้ติดตาม
อยากทราบว่าตอนนี้ถือวีซ่า h4 อยู่น่ะค่ะและอยู่กับสามีที่รัฐเทกซัส ส่วนตัวเองต้องการไปเรียนต่อรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยแยกกันอยู่ สามารถทำได้ไหมค่ะ
คำว่าแยกกันอยู่ของคุณหมายความว่ายังไงคะ..........
H-4 เรียนหนังสือได้แต่จะขาดทุนตรงที่ไม่ได้ OPT
และถ้าเรียนๆ ไป หากสามีคุณฟ้องหย่า คุณต้องรีบทำเรื่องขอเปลี่ยนเป็น F-1 ทันที
ทางที่ดีคือทำเรื่องขอเปลี่ยนสถานะไปเลยค่ะ
แต่ถ้าการแยกกันอยู่เป็นความเต็มใจของทั้งคู่ และคุณไม่ต้องการขอ OPT ก็ไม่ต้อง
SSN
My friend has SSN issued by college.He is an international student .He has worked off campus by using SSN for a year.In the summer, he has left the US .He will come back next month. I wanna know . Can he come back to the US without a trouble or not?.......Why?.....I wanna let him know. I used to warn him.He didn't trust me .
เคยมีตัวอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า F-1 วีซ่าหมด กลับไปขอวีซ่าที่เมืองไทยเพื่อจะมาใหม่ กงสุลพบว่าทำงานมี record การใช้ SSN หักภาษี ผลคือวีซ่าไม่ผ่าน
อีกรายนึงเป็นสาวชาวอเมริกาใต้ ถือวีซ่าท่องเที่ยว ได้ SSN มาจากโครงการ W&T เจอ ตม... ตม บอกเองเลยว่าคราวที่แล้วอยู่ตั้งหกเดือนแถมมาทำงานด้วย กลับไปก่อนเถอะ ไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ โดนส่งกลับค่ะ
ถ้าเพื่อนคุณเขาไม่ห่วงตัวเอง ก็ปล่อยๆ ไปเถอะค่ะ
คนที่อยู่เกินวีซ่าบินภายในประเทศได้มั้ยคะ
สามี(อเมริกัน)อยากรู้ว่าคนที่เค้าอยู่เกินวีซ่าเนียะ เค้าเดินทางในประเทศได้มั้ย อย่างจะบินจากรัฐหนึ่งไปรัฐหนึ่ง
เราตอบเค้าไม่ได้ ฮ่าๆ เพื่อนก็ไม่มีใครรู้ ขอบคุณคะ
บางสนามบินมี จนท. ของ Department of Homeland Security เป็นคนตรวจบัตรโดยสารและ ID หรือ passport ตรง security check...บางสนามบินก็มีเฉพาะ จนท. TSA...
ถามว่าเดินทางได้ไม๊? ก็ได้นะคะ...แต่ต้องเสี่ยงกันหน่อยว่าตอนผ่าน security check นั้นจะเจอ DHS หรือ TSA...ถ้าเจอ DHS ก็เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว...เพราะเขาจะดูละเอียดทั้งพาสปอร์ต, วีซ่า, และ I-94...
ปกติคนอเมริกันหรือคนที่ถือกรีนการ์ดก็แค่แสดง DL เท่านั้น...แต่คนต่างชาติต้องแสดงพาสปอร์ต...ดังนั้นคนที่อยู่อย่างผิดกม. จึงขอหรือต่อ DL ไม่ได้...
บางคนก็รอดมาได้ แต่หลายรายโดนพาตัวออกไป อันนี้เห็นกับตาหนนึงที่สนามบิน O'Hare อีกหนนึงที่สนามบิน Midway
นอก จากนั้นมีหญิงไทยที่เพิ่งแต่งงาน วีซ่าขาดมานานแล้ว ยังไม่ได้ยื่นเรื่องปรับสถานะ สามีต้องการพาไปพบญาติพี่น้องที่อยู่ต่างรัฐ เจ้าตัวมาปรึกษา... ดิฉันแนะนำไปว่า ไม่ได้ไกลมากให้ขับรถไปจะดีกว่า แต่สามีอยากบินมากกว่า อ้างว่าซื้อตั๋วแล้วคืนไม่ได้ ฯลฯ หลังจากนั้นไม่กี่วัน สามีเขาโทรมาถามว่าต้องทำยังไงมั่ง เพราะภรรยาโดนเจ้าหน้าที่พาตัวออกไปจาก check point ที่สนามบิน JFK ยังไม่ทันได้ขึ้นเครื่อง........ เหตุเกิดเมื่อช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าปีที่แล้ว
ไม่ได้ขู่นะคะ เรื่องจริง..... วัดดวงกันเอาเองค่ะ

ศึกษาต่อ
ขอคำปรึกษาค่ะ ต้นปีกำลังเตรียมตัวเดินทางท่องเที่ยวไปสหรัฐฯ โดยมีวีซ่าท่องเที่ยว 10 ปี พร้อมจะดูที่เรียนตามมหาวิทยาลัยไปด้วยถ้าเกิดเลือกมหาวิทยาลัยได้ (หอบหลักฐานการศึกษาไปด้วย) จะอยู่ต่อทำเรื่องขอเรียนเลยได้ไหมโดยขอเปลี่ยนวีซ่าที่โน่น ขอบคุณค่ะ
ถ้าจะไปดูที่เรียน ก็ไปแบบนักท่องเที่ยว แล้วกลับมายื่นขอวีซ่านักเรียนที่เมืองไทย
ไม่ต้องหอบวุฒิการศึกษาไปด้วย เดี๋ยว ตม ค้นกระเป๋าจะได้กลับก่อนกำหนด พาลจะไม่ได้ไปดู รร
สแกนเป็น pdf ใส่ flash drive ไป อย่าเอาตัวจริงไปค่ะ
ผู้รู้ใครก็ได้ช่วยที
แม่เราไปอยู่ที่อเมริกาเพิ่งได้กรีนการ์ดไม่ถึงปี ยัง apply ซิตี้เซ็นไม่ได้ ตอนนี้แม่ป่วยมาก ยังไม่สามารถใช้สิทธิรักษาพยาบาลได้ อยากเอากลับมารักษาที่เมืองไทย แต่รู้มาว่าถ้าถือสัญชาติสหรัฐแล้ว เขาจะอนุญาตให้ออกนอกประเทศได้แค่ 30 วัน ใครพอรู้บ้างถ้าเป็น case เจ็บป่วยอาจต้องกลับมารักษาตัวที่เมืองไทยนานหน่อย ทำได้ไหม แต่ไม่อยากขาดสิทธิในการขอซิตี้เซ็นด้วย ถ้าทำได้เขาอนุญาตให้รักษาตัวได้นานแค่ไหน และต้องทำอย่างไร ช่วยด้วยนะคะ
ถ้าคุณแม่ได้ใบเขียวแล้ว มีทางออกคือ
1. ขอสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลจากรัฐ สามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลที่รัฐนั้นๆ กำหนดได้ ไม่ต้องกลับมารักษาที่เมืองไทย หรือ
2. เดินทางกลับมารักษาตัวที่เมืองไทยโดยยื่นขอ Re-Entry Permit และต้องรอให้ได้รับอนุมัติก่อนจึงจะเดินทางได้ การทำ Re-Entry Permit ในกรณีอย่างนี้ควรแนบใบรับรองแพทย์ไปด้วย สามารถอยู่เมืองไทยได้สูงสุดสองปี
ไม่ ว่าจะเลือกวิธีไหนมีผลกับการทำซิติเซ่นทั้งนั้น คือ ถ้าเลือกที่จะกลับมารับการรักษาที่เมืองไทย จะต้องไปตั้งต้นนับวันใหม่สำหรับการทำซิติเซ่น และถ้ารับการสงเคราะห์จากรัฐ ก็ควรจะทิ้งช่วงเพื่อสร้างหลักฐานทางการเงินว่าเลี้ยงตัวได้ เพราะถ้าทางการเห็นว่าอาจจะเป็นภาระของรัฐบาล ก็อาจจะถูกปฏิเสธคำขอทำซิติเซ่นได้
การทำซิติเซ่นไม่ใช่เรื่องเร่งร้อน... ถ้าได้ใบเขียวแล้ว ควรสร้างหลักฐานให้สมบูรณ์ก่อนแล้วค่อยยื่นเรื่อง ถ้าไม่พร้อมยื่นไปแล้วโดนปฏิเสธกลับมา พอยื่นใหม่จะยากกว่าเดิม

หลังจากหย่าแล้ว ต้องรออีกนานแค่ไหนที่อเมริกันซิติเซ่น จะสามารถ ยื่นขอวีซ่าคู่หมั้นให้แฟนใหม่ได้
หลังจากหย่าแล้ว ต้องรออีกนานแค่ไหนที่อเมริกันซิติเซ่น จะสามารถ ยื่นขอวีซ่าคู่หมั้นให้แฟนใหม่ได้
ถ้าจะว่ากันตามตัวบทกฏหมายแล้ว มีไม่กี่รัฐที่กำหนดเรื่องนี้ และที่กำหนดก็แค่ไม่กี่วัน ส่วนมากก็จะแต่งงานใหม่ได้ทันที
แต่ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อยหกเดือน ถ้า คู่สมรสคนที่เพิ่งหย่าไปเป็น immigrant ถึงแม้ว่าจะได้ใบเขียวถาวรหรือเป็นซิติเซ่นแล้วก็ตาม
กรณี ที่อยากหย่า ต้องทำไงค่ะ
ถ้าเราต้องการจะหย่า กับคนไทย ที่เราไปแต่งงานที่อเมริกา ด้วย ต้องทำอย่างไหร่ค่ะ เพราะ เรากลับเมืองไทย มาแล้ว (คนไทย ที่เราไปแต่งงาน ตอนแรกได้ กรีกการ์ด แต่ ตอนนี้ สอบซีิตีเซนต์ )
เลือกเอาหนึ่งวิธีคือ...
1. ให้เขาบินไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ ที่เมืองไทย วิธีนี้เร็ว ง่าย
2. คุณฟ้องหย่าฝ่ายเดียวในไทย
3. เขาฟ้องหย่าฝ่ายเดียว ยื่นต่อศาลครอบครัวอเมริกา

เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
อยากทราบถึงวิธีการจัดการเรื่อง เงิน ๆ ทอง ๆ หลังแต่งงานกับสามีอเมริกันหน่อยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งค่าใช้จ่าย ในกรณีที่เราก็มีภาระที่เมืองไทย อยากทราบความเห็นของเพื่อนหน่อยค่ะว่าจัดการกันอย่างไรอยู่ เพราะกรณีของเราเค้าก็มีค่าใช้จ่ายเช่นค่าเลี้ยงดูบุตร เราก็มีค่าใช้จ่ายอย่างต้องส่งกลับบ้าน ตกลงยังไงหรือคะ ต้องเป็นไปตามกฎหมายด้วยหรือเปล่า หรือถ้าเราทำงานได้เงินมาแล้วส่งกลับไปฝากไว้ที่เมืองไทยอย่างนี้จะโอเคหรือ เปล่าคะ?
ตามกฏหมายแล้ว หลังแต่งงาน ทั้งรายได้ของคุณและของสามีถือเป็นสินสมรส ดังนั้นการจัดการเรื่องการเงิน การสร้างหนี้ใหม่ ฯลฯ ควรได้รับความเห็นชอบจากเขาด้วย เช่น ต่างคนต่างมีภาระเรื่องลูกติด หรือค่าเลี้ยงดูภรรยาเก่า ฯลฯ
ถ้า คุณไม่ได้ทำพรีนัพก่อนแต่งงาน และถ้ายังคุยกับสามีได้ ก็ควรทำ เพราะจะทำให้อะไรๆ ง่ายกว่ากันมาก อย่าคิดแค่ว่าไม่มีสมบัติอะไรนอกจากเงินเดือน คุณสามารถกำหนดได้ว่า ในแต่ละเดือนคุณสองคนลงขันเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ เท่าไหร่ ส่วนที่เหลือของรายได้ของคุณ คุณจะเอาไปทำอะไรก็สุดแท้แต่
ถ้า คุณไม่ได้ทำข้อตกลงเรื่องนี้... หากสามีเป็นคนดี มีน้ำใจโอบอ้อมอารี ก็ดีไป แต่ถ้าไปเจอประเภทตรงข้ามเข้า ใหม่ๆ ไม่เป็นไร แต่อาจจะมีปัญหาทีหลัง เพราะครั้งนึงไม่นานมานี้ เคยเห็นสำนวนฟ้องหย่าของฝรั่ง มีข้อหนึ่งของสาเหตุการหย่า โดยร้องขอต่อศาลว่าเขาขอจะไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูหลังหย่า อ้างว่าตั้งแต่แต่งงานมา เมียไทยส่งเงินไปเลี้ยงดูครอบครัวทุกเดือนจนเขาไม่เงินเก็บ ไม่มีเงินจะเอาไปลงทุนทำอะไรให้มันงอกเงยออกมา
ดิฉันไม่ได้ติดตามผล............... แต่ฟังดูไม่ดีแน่ๆ ค่ะ

ขอถามเรื่อง การเปลี่ยนวีซ่าที่อเมริกา จากท่องเที่ยวเป็นนักเรียน
ไม่ทราบว่าทำได้ไหมค่ะ
ถ้าเปลี่ยนจากวีซ่าท่องเที่ยว เป็นนักเรียน แล้วต้องไปเปลี่ยนที่ไหน ค่าใช้จ่ายเท่าไรเอ่ย?
ไม่แนะนำให้ทำเรื่องเปลี่ยนสถานะในอเมริกา ถ้ากลับไปขอวีซ่านักเรียนที่เมืองไทย นอกจากจะง่ายกว่าแล้ว ยังมีโอกาสได้วีซ่ายาวหลายปี ซึ่งดีกว่ามากค่ะ ถ้าคุณขอเปลี่ยนสถานะ คุณจะได้แค่ตามกำหนดเวลาของคอร์สที่ลงเรียน และถ้ากลับเมืองไทยหรือเดินทางออกนอกประเทศเมื่อไหร่ คุณต้องไปขอวีซ่านักเรียนก่อนถึงจะกลับมาเรียนต่อได้ เสียเงินสองต่อและยุ่งยากโดยใช่เหตุ
นอกจากนั้น ประเด็นหนึ่งที่สำคัญและไม่ค่อยมีใครบอกกันคือ การยื่นเรื่องขออยู่ต่อ หรือขอเปลี่ยนสถานะ เป็นเหมือนการโบกธงแดงให้อิมมิเกรชั่นรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน................

คุณแม่จะแต่งงานกับชายชาวอเมริกัน ต้องเตรียมหลักฐานอะไรบ้างเพื่อให้ได้สัญชาติเร็วที่สุด
คุณแม่จะแต่งงานกับชายชาวอเมริกัน ต้องเตรียมหลักฐานอะไรบ้าง
คุณ แม่ซึ่งมีลูกติด 1 คน อายุ 27 ตอนนี้ต้องการจะแต่งงานกับชายชาวอเมริกัน ซึ่งตอนนี้อยู่ที่เมืองไทย ต้องเดรียมตัวอะไรบ้างทางด้านหลักฐานของทั้งฝ่ายชายาวอเมริกันและฝ่ายหญิง ไทย ก่อนที่จะไปจดทะเบียนสมรสที่ อำเภอ และหลังจากนั่นต้องยื่นเรื่องที่สถานทูตและใช้ระยะเวลาทำการนานเท่าไร ถึงจะได้สัญชาติอเมริกา
แล้วในกรณีนี้ ลูกชายจะได้สัญชาติอเมริกาอัตโนมัติ หรือว่าต้องยื่นเรื่องรอไปอีกคะและต้องใ้ช้ระยะเวลาเท่าไร
ถ้าฝรั่งจะอยู่เมืองไทยถาวร แต่งงานกับเขาก็ขอใบเขียวไม่ได้นะคะ จะขอได้ก็ต่อเมื่อจะย้ายไปอยู่อเมริกาเป็นการถาวรเท่านั้น
ถ้า ฝรั่งทำงานหรือมีถิ่นฐานอยู่ในเมืองไทยเกินหนึ่งปี สามารถยื่นเรื่องกับ USCIS ในกรุงเทพฯได้ ซึ่งปัจจุบันจะเร็วมากคือประมาณหกเดือนสำหรับวีซ่าคู่สมรส
สำหรับบุตรอายุเกิน 21 ไม่สามารถทำเรื่องพ่วงคุณแม่ได้ ต้องยื่นเรื่องต่างหาก ขั้นตอนจะใช้เวลานานหลายปีหน่อยค่ะ

มรดก
1.ลูกของดิฉันตอนนี้คนโตร่วมสามขวบ คนเล็กหกเดือน ยังไม่มีสัญชาติไทย สามารถรับมรดกที่เมืองไทยได้หรือไม่ ต้องทำอย่างไรบ้างคะ
2. ดิฉันมีพี่ชายด้วย ถ้าหากพี่ชายจะจดทะเบียนรับลูกของดิฉันเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อมอบมรดกส่วนของ พี่ชายให้ กรณีนี้เป็นไปได้หรือไม่ ต้องทำอย่างไรบ้างคะ
3.ตัวดิฉันเอง ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เมืองไทยอยู่ด้วย เป็นที่ดินมรดกส่วนที่แม่แบ่งให้แล้วก่อนสมรส หากดิฉันเสียชีวิตลูกที่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทยสามารถรับมรดกส่วนนี้ได้หรือ ไม่
ตอนนี้ไม่รู้จะหาข้อมูลจากไหน คิดว่าเพื่อนๆ แม่บ้านคงพอมีประสบการณ์กันบ้าง ใครมีคำแนะนำอื่น ๆ ไหมคะ ตอนนี้ดิฉันรู้สึกมืดแปดด้านพิกล บอกให้ขายแล้วส่งเงินมาง่ายกว่า แต่แม่เสียดายที่ดินที่เป็นสมบัติตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ไม่อยากขายอยากยกให้หลานมากกว่า
ดิฉันก็อึ้งกิมกี่กับความกลุ้มของ แม่ เนื่องจากลูกหลานอยู่ไกลบ้าน บ่น ๆ ว่าไม่รู้ใครจะตายก่อนกัน หากเคราะห์ร้ายดิฉันและพี่ชายเกิดตายจากไปเสียก่อน เกรงว่าจะไม่สามารถยกมรดกทั้งหมดให้หลานได้
รบกวนแม่บ้านที่มีความรู้ด้านนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ปล. พี่ชายจดทะเบียนสมรสแล้วแต่ไม่มีบุตร และดูเหมือนจะไม่สามารถมีบุตรได้ แม่ยกมรดกให้พี่ชายก่อนจดทะเบียนสมรส แต่เพราะไม่มีลูก แม่ดิฉันเกรงว่าหากพี่ชายเสียชีวิตลงมรดกส่วนนั้นจะตกเป็นของฝ่ายภรรยา จึงต้องการหาทางยกมรดกให้ลูกของดิฉัน
ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่าประเทศที่คุณอยู่นั้นยอมให้ถือ สองสัญชาติหรือไม่ ถ้ายอม.. ตรงนี้ก็จะง่ายมาก คือ คุณไปทำเรื่องขอสัญชาติไทยให้ลูกเสีย เมื่อเด็กมีสัญชาติไทยแล้ว ก็จะสามารถถือครองได้
ในกรณีที่ผู้รับมรดกเป็นผู้เยาว์ สามารถรับได้ แต่จะจำหน่ายถ่ายโอน หรือทำนิติกรรมใดๆ ไม่ได้จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ คือรับมาเก็บไว้เฉยๆ นะคะ
ทีนี้ถ้าไม่สามารถขอสัญชาติไทยได้ ก็ยังสามารถรับมรดกได้ แต่จะโอนเป็นชื่อตัวเองไม่ได้ ต้องขายออกไปภายในหนึ่งปี
ส่วน วิธีที่จะทำให้อยู่ในบ้านนั้นได้โดยที่ยังมีสถานะเป็นคนต่างชาติคือ การจดสิทธิอาศัย เช่น คุณยายยกบ้านหลังนี้ให้หลานไม่ได้เพราะหลานไม่มีสัญชาติไทย แต่คุณยายสามารถยกบ้านหลังนี้ให้ลูกชาย (ลุงของเด็ก) โดยจดทะเบียนสิทธิอาศัยให้แม่และตัวเด็ก สามารถอยู่ได้ตลอดชีวิตแต่ไม่มีสิทธิในการครอบครอง เจ้าบ้านไม่สามารถไล่ได้ค่ะ
วิธีหลังนี่ไม่ค่อยอยากแนะนำค่ะ เพราะวันหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนเปลี่ยนกันได้ ถึงจะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ก็ตามที


แต่งงานกับคนอเมริกัน
อยากทราบถึงข้อผูกพันทางกฎหมายหลังจากแต่งงานกับคน อเมริกันน่ะค่ะ อยากทราบว่าหลังจากแต่งงานแล้วมีข้อผูกพันกันอย่างไรบ้าง อย่างเช่นเรื่องหนี้สิน ทรัพย์สิน อย่างเช่นถ้าเราทั้งสองคนหาเงินได้ หมายถึงเป็นของเราทั้งสองคน 50/50 หรือเปล่าคะ หรือของใครของมัน หรือเรื่องของแบงค์ ถ้าแยกแบงต์กันกับใช้ account ด้วยกันจะต่างกันอย่างไรคะ แล้วเรื่องหนี้ หากคนใดคนหนึ่งสร้างหนี้ อีกคนต้องรับผิดชอบด้วยหรือเปล่าคะ อันนี้รวมไปถึงหนี้เก่าหรือความรับผิดชอบเก่าที่เค้าต้องรับผิดชอบด้วยหรือ เปล่าคะ? อย่างค่าเลี้ยงดูบุตรน่ะคะ รบกวนหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นหนึ่งในรัฐที่ถือเป็น community property คืออะไรที่ทำมาหาได้หลังแต่งงานถือเป็นสินสมรส ถ้าเลิกกันก็หารสอง หนี้สินที่มีมาก่อนแต่งของใครของมัน คู่สมรสไม่ต้องมารับผิดชอบ แต่ถ้าสร้างหนี้หลังแต่งงานก็หารสองเหมือนกัน คำว่าสินสมรสนั้นหมายความถึงทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน
เป็นรัฐที่มีการหย่าแบบ no fault คือเบื่อหน้ากันเมื่อไหร่ก็ฟ้องหย่าไได้เลย ไม่ต้องแยกกันอยู่ก่อนระยะหนึ่งเหมือนหลายๆ รัฐ
ฯลฯ
แนะนำว่าควรทำพรีนัพค่ะ