สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก ประเทศรัสเซียรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2554 เวลาประมาณ 03.00 น. มีหญิงไทยคนหนึ่งโทรศัพท์ขอรับความช่วยเหลือไปยังหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินของ ฝ่ายกงสุล โดยแจ้งว่าได้หลบหนีมาจากสถานค้าประเวณีแห่งหนึ่งในกรุงมอสโก เจ้าหน้าที่กงสุลจึงได้ช่วยเหลือหญิงไทยดังกล่าวเดินทางไปยังสถานเอกอัคร ราชทูต
จากการสอบถามเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ หญิงดังกล่าวแจ้งว่าตนชื่อ น.ส.เปิ้ล (นามสมมุติ) เดินทางโดยความสมัครใจจากเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เข้าประเทศรัสเซียเพื่อเข้าไปทำงานในสถานบริการเต้นรำเปลื้องผ้าชื่อดังแห่ง หนึ่งของรัสเซียชื่อโกลเด้น เกิร์ล ท็อฟเลส เล้าน์ โดยได้รับรายได้วันละ 10,000 รูเบิล ต่อมาเธอได้รับการทาบทามให้ไปค้าบริการ โดยนายจ้างใหม่สัญญาค่าแรงที่สูงกว่า จึงตกลงไปทำงานตามคำชักชวน แต่เมื่อไปถึงจึงพบว่า นอกเหนือจากเงินค่าครองชีพประจำวันวันละ 1,000 รูเบิลแล้ว เธอไม่ได้รับค่าตอบแทนอื่นแต่อย่างใด และยังถูกบังคับให้ทำงานอย่างหนัก จึงหาช่องทางหลบหนีออกมา
น.ส.เปิ้ล รับว่า เธอได้รับทราบข้อมูลจากคนไทยที่สถานเอกอัครราชทูตเคยให้ความช่วยเหลือจำนวน 5 รายเมื่อเดือนตุลาคม 2553 ว่า กระบวนการลักลอบนำคนไทยไปค้าประเวณีในรัสะเซียจะเริ่มจากนายหน้าชาวรัสเซีย เดินทางไปยังพัทยา เพื่อคัดเลือกและชักชวนหญิงและชายที่หน้าตาดีและค้าบริการอยู่แล้วให้เดิน ทางไปค้าบริการที่รัสเซีย เมื่อสมัครใจไปนายหน้าก็จะจัดซื้อบัตรโดยสารเครื่องบินไป-กลับให้ แต่เมื่อเดินทางถึงแล้วก็จะยกเลิกเที่ยวบินขากลับนั้นเสีย ทั้งนี้เมื่อผู้สมัครใจไปทำงานเดินทางถึงกรุงมอสโกมีหลายกรณีที่ถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยวและบังคับให้ค้าบริการ ตลอดจนให้มีการอดอาหารและทำร้ายร่างกาย โดยสถานที่ค้าบริการเหล่านี้มักมีความใกล้ชิดกับสถานีตำรวจในพื้นที่ด้วย ดังจะเห็นได้จากกรณีคนไทย 5 คนที่สถานเอกอัครราชทูตช่วยเหลือเมื่อเดือนตุลาคม 2553 ซึ่งเมื่อหลบหนีไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แล้ว แต่ตำรวจในพื้นที่กลับเรียกนายจ้างไปรับตัวคืน ซึ่งเป็นเหตุให้สถานเอกอัครราชทูตต้องไปแจ้งความกับสถานีตำรวจนอกพื้นที่แทน
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบหนังสือเดินทางของน.ส. เปิ้ลยังพบว่ามีการประทับตราของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองรัสเซียอย่างถูกต้อง โดยนายจ้างนำหนังสือเดินทางดังกล่าวไปประทับตราเข้า-ออกประเทศรัสเซียทุกๆ เดือน แม้ว่าบุคคลผู้นี้จะไม่เคยเดินทางออกจากรัสเซียตลอดระยะเวลาที่เดินทางเข้า ประเทศก็ตาม
ภายหลังการสอบปากคำผู้ร้องเรียนขอความช่วยเหลือรายนี้จนกระทั่งเวลา 04.30 น. เจ้าหน้าที่กงสุลได้ช่วยตรวจสอบเอกสารและแนะนำให้น.ส.เปิ้ลเดินทางกลับ ประเทศไทย แต่เธอแจ้งว่าประสงค์จะเดินทางไปหานายจ้างเก่าเพื่อขอความช่วยเหลือด้านการ เงินก่อน
ปัจจุบัน ประเทศไทยและรัสเซียมีข้อตกลงร่วมกันในการยกเว้นการตรวจลงตราวีซ่าที่เป็นไป เพื่อจุดประสงค์ของการท่องเที่ยวที่ไม่เกิน 30 วัน ผลของสัญญาทำให้ทั้งคนไทยและรัสเซียสามารถเข้าเดินทางไปเที่ยวในประเทศคู่ สัญญาได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าก่อนเดินทาง แต่กรณีของน.ส.เปิ้ลนี้เห็นได้ว่า กลุ่มมิจฉาชีพใช้ประโยชน์จากความตกลงดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์ในทางที่ผิด กฎหมาย
คนไทยที่ได้รับการชักชวนให้ไปทำงานในรัสเซียควรตระหนักว่าจะต้องขอวีซ่าทำงาน จากสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียที่ประเทศไทยก่อนเท่านั้น การเดินทางเข้าประเทศรัสเซียก่อนแล้วไปขอเปลี่ยนวีซ่าเป็นวีซ่าทำงานไม่ สามารถทำได้ ทั้งนี้ การเดินทางไปทำงานโดยอาศัยช่องว่างจากความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราวีซ่านั้น ในที่สุดแล้วจะทำให้ท่านตกอยู่ในสถานะผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย ต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ และถูกเอารัดเอาเปรียบในการทำงาน
ข้อมูลจาก กระทรวงต่างประเทศ
