การเลี้ยงเด็กในต่างประเทศนั้นไม่เหมือนเลี้ยงเด็กในเมืองไทย นิสัยคนไทยอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็รอมชอมกันมากกว่า ไม่ใช่ลูกอีช่างฟ้องหมือนคนอเมริกัน ที่เอะอะนิดหน่อยก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายมันตะพึดตะพือ สำหรับคนที่มีลูก กฏหมายกำหนดว่าพ่อแม่ต้องให้การอุปการะเลี้ยงดูบุตร และดูแลรับผิดชอบไปจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ที่ต้องระวังกันจริงๆ มีเป็นขั้นๆ คือ
เมื่อลูกยังเล็ก ประเด็นที่พ่อแม่ทำผิดและโดนดำเนินคดีบ่อยๆ คือ
- ไม่เอาลูกนั่งคาร์ซีท เวลาไปไหนๆ เด็กต้องนั่งคาร์ซีทเสมอ รายละเอียดของอายุ น้ำหนัก และประเภทของคาร์ซีทรวบรวมไว้ที่นี่ค่ะ Car Seat Laws by State
- ทิ้ง ลูกไว้ในรถ ตัวเองเข้าไปทำธุระหรือซื้อของในร้าน ไม่ว่าคุณจะแวะที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อน้ำอัดลมกระป๋องเดียว หรือเข้าไปส่งจดหมาย หรือ ฯลฯ ห้ามทิ้งลูกไว้ในรถถึงแม้ว่าคุณจะติดเครื่องรถและเปิดแอร์ไว้ก็ตาม ในแต่ละปีมีเด็กเสียชิวิตจากความร้อนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากพ่อแม่ทิ้งไว้ในรถเพื่อเข้าไปทำธุระ โดยคิดว่าประเดี๋ยวเดียว คงไม่เป็นไร กอร์ปกับขี้เกียจอุ้มลูกเข้าออก ฯลฯ เพราะในหลายๆ ท้องที่อุณหภูมิในหน้าร้อนสูงถึง 100 F และรถที่จอดอยู่กลางแจ้งย่อมจะร้อนกว่ารถจอดในร่ม
ทั้งสองกรณีนี้จัดเป็น child endangerment ถือว่าเป็นคดีอาญาค่ะ
พอลูกโตขึ้นมาหน่อย เล่นกับเพื่อนได้ คราวนี้คุณต้องระวังเรื่องการละเมิดสิทธิของเด็กและเรื่องอุบัติเหตุ
- ถ้า เพื่อนลูกรังแกลูกคุณ ห้ามดุด่า หรือตี หรือทำโทษเด็กโดยพลการเป็นอันขาด ถ้าเหตุเกิดที่โรงเรียน คุณต้องให้เด็กฟ้องคุณครู ถ้าเหตุเกิดที่อื่น เช่น สนามเด็กเล่น หรือที่สาธารณะอื่นๆ หรือที่บ้าน คุณต้องพูดกับพ่อแม่ของเด็ก ให้เขาเป็นคนจัดการกับลูกของเขาเอง ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะกฏหมายถือว่าเด็กมีสถานะเป็นบุคคลตามกฏหมาย แต่เนื่องจากวัย และวุฒิภาวะยังเป็นผู้เยาว์ ไม่สามารถต่อรอง หรือป้องกันตัวเองได้เท่าเทียมกับผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงไม่เป็นการยุติธรรมที่ผู้ใหญ่จะใช้กำลังหรือดุด่าว่ากล่าวเด็กที่ ไม่ใช่ลูกของตน และหน้าที่ในการสั่งสอนอบรมนั้นเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครอง
- ถ้า เพื่อนของลูกมาเล่นที่บ้านของคุณ ไม่ว่าพ่อแม่ของเด็กจะอยู่ด้วยหรือไม่ ถ้าเด็กประสบอุบัติเหตุ หรือได้รับบาดเจ็บในขณะที่มาเล่นอยู่ในบ้านของคุณ ในฐานะเจ้าบ้าน คุณต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดกับเด็ก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือซื้อประกัน home owner insurance หรือ renter insurance
- เด็กวัยเริ่มโตกับสัตว์เลี้ยง เป็นเรื่องที่มักจะมาคู่กัน ถ้าคุณมีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัข ห้ามปล่อยออกไปนอกบ้านโดยไม่มีสายจูงเป็นอันขาด และถ้าพาออกไปนอกบ้านทั้งๆ ที่มีสายจูง ก็จะต้องควบคุมให้ดี ถ้าสุนัขกระโจนเข้าไปทำร้ายคนหรือสุนัขตัวอื่น คุณต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลนั้นๆ อาทิ ค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยอื่นๆ
- ถ้าลูกไปซนจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บ หรือเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น ในฐานะพ่อแม่คุณต้องรับผิดชอบในการกระทำของลูกตราบใดที่ลูกยังเป็นผู้เยาว์ จะอ้างว่าเด็กทำไปโดยคุณไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้
กฏหมายข้อหนึ่งที่ไม่เคยมีการบังคับใช้ในเมืองไทย แต่เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวันในสหรัฐอเมริกาคือ รัฐมีอำนาจที่จะเอาลูกคุณไปจากคุณได้ ถ้าหากมีพยานหลักฐานว่า คุณมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองเด็ก หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องสวัสดิการของเด็กคือสังคมสงเคราะห์
ถ้าคุณพบว่ามีเด็กที่มีพฤติกรรมว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกกระทำทารุณ หรือพ่อแม่มีสภาพจิตใจไม่ปกติ ติดยา ฯลฯ คุณสามารถแจ้งสังคมสงเคราะห์ได้ทันที ทางการจะเก็บข้อมูลผู้แจ้งเป็นความลับ และส่งเจ้าหน้าที่ไปสอบ และหากเห็นว่ามีมูล ทางการจะเอาตัวเด็กออกมาจากบ้านทันทีและหาบ้านอุปถัมภ์ให้เป็นการชั่วคราวจน กว่าการสอบสวนจะสิ้นสุด ซึ่งผลขึ้นอยู่กับรูปคดี ศาลจะเป็นผู้พิจารณาว่าใครควรเป็นผู้ปกครองเด็กโดยชอบด้วยกฏหมาย อาจจะเป็นปู่ย่าตายาย หรือญาติพี่น้องคนอื่น หรือเป็นบ้านอุปถัมภ์ ฯลฯ
ในทางกลับกัน หากคุณทำรุนแรงกับลูกของคุณ เพื่อนบ้านหรือสามีสามารถรายงานต่อทางการได้ และหากสามีทำรุนแรงกับลูกติดของคุณ ถ้าคุณไม่ปกป้องลูกด้วยการแจ้งความดำเนินคดีสามี หรือขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนบ้านหรือสมาชิกในครอบครัวคนอื่น สามารถรายงานพฤติกรรมของคุณต่อทางการ ซึ่งอาจะมีผลให้คุณสูญเสียอำนาจการปกครองบุตรได้
เคยพบบ่อยๆ ว่า ผู้หญิงไทยจำนวนมาก พาลูกติดของตัวมาอยู่ด้วย หลายรายรีบจัดแจงให้สามีรับลูกติดของตัวเป็นลูกบุญธรรม บ้างก็เพื่อเหตุผลในการทำให้ลูกได้เป็นทายาทโดยชอบด้วยกฏหมาย จะได้รับมรดก บ้างก็ทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บ้างก็เชื่อสามีคืออยากให้ใช้นามสกุลเดียวกันเท่านั้น เมื่อเริ่มแรก อะไรๆ ก็ดี แต่พอไปสักระยะหนึ่ง สามีเริ่มออกลาย ไม่ให้เงินใช้ ไม่ให้ไปไหน หรือคบหาสมาคมกับใคร ดุด่าว่ากล่าวหยาบๆ คายๆ เป็นกิจวัตร แถมมีลงไม้ลงมือบ้างเป็นบางครั้ง ฝ่ายหญิงกลัวไม่กล้าแจ้งความ กลัวว่าจะสูญใบเขียว กลัวว่าจะถูกส่งกลับ ฯลฯ หลายรายทำประชดสามีแต่กลับกลายเป็นว่าเข้าตัวเอง เช่น กรีดร้องโหยหวน ทุบตีเขา โยนข้าวของใส่เขา แทงด้วยมีดทำครัว จุดไฟเผาที่นอน ฯลฯ ผลคือสามีแจ้งตำรวจ เจ้าตัวถูกจับและถูกส่งไปรับการประเมินจากจิตแพทย์ หลายรายประเมินไม่ผ่าน ผลคือต้องเข้ารับการรักษาอาการทางจิต ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วไม่ได้บ้าน แต่เป็นเพราะความกดดัน
ระหว่างนั้นสามีจัด แจงยื่นคำร้องต่อศาล ขอเป็นผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฏหมายแต่เพียงผู้เดียว พอเจ้าตัวออกจากสถานพยาบาลมา สามียื่นคำขาดว่าเขาจะซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวให้ทั้งสองคนแม่ลูก คือไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีก แต่ต้องหย่ากันโดยไม่เรียกร้องอะไรเลย ไม่งั้นจะดำเนินคดีทางอาญาต่อซึ่งก็แปลว่าสูญเสียอำนาจการปกครองบุตรให้เขา ไปแล้วร้อยเปอร์เซนต์ จะหวังพึ่งสามีก็ไม่ได้แล้ว ถ้าต้องโทษก็คือติดคุกอย่างเดียว เขาคงไม่มาประกันตัวหรือหาทนายมาช่วยแก้ต่างให้ ก็เขาเป็นคนฟ้องนี่คะ ถ้ามาถึงจุดนี้ยากแล้วละค่ะ เพราะการที่ยังมีคดีอาญาติดตัวอยู่ จะเดินหน้าเรื่องใบเขียวต่อความหวังก็ริบหรี่ จะกลับเมืองไทยก็คือจบ จะกลับมาใหม่ก็ต้องตั้งต้นใหม่กับคนใหม่ และก็ต้องเตรียมหาทนายเก่งๆ เอาไว้ด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าคุณมีเพื่อนหรือคนรู้จัก ที่ขอวีซ่าแล้วพ่วงลูกมาด้วย แนะนำเพื่อนให้ใตร่ตรองให้รอบคอบ อย่าผลีผลามจดทะเบียนบุตรบุญธรรมให้ใครง่ายๆ ถ้าคุณแต่งงานกับสามีมาแล้วเจ็ดปีและยังไม่มีท่าทีว่าจะเลิกกัน ค่อยไปจดตอนนั้นก็ไม่สายค่ะ
ส่วนเรื่องลูกวัยรุ่นจะมาต่อให้คราวหน้าค่ะ