ความจริงตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องเบาๆ เพราะมึนๆ กับดราม่าของชาวบ้าน ที่มากระทบกับตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สองวันมานี่มีคำถามเรื่องตายติดต่อกัน เลยขอจัดการเรื่องนี้ก่อน เพราะคนจำนวนมากไม่ทราบ และไม่เข้าใจว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ถึงแม้ว่าจะอยู่ในประเทศนั้นๆ มานานมากก็ตาม
กรณีที่หนึ่ง เสียชีวิตในโรงพยาบาล
แพทย์ที่ทำการรักษาจะบันทึกสาเหตุของการตาย เช่น ป่วย หรืออุบัติเหตุ และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือกระทรวงสาธารณสุขและโซเชี่ยลฯ แต่ถ้าแพทย์ที่ทำการรักษาไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุการตายลงไปได้แน่นอน ก็จะต้องส่งต่อไปให้หน่วยชัณสูตรพลิกศพ (coroner's office) ของท้องที่นั้นๆ เป็นผู้ดำเนินการต่อไป เมื่อการชัณสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ทางหน่วยชัณสูตรพลิกศพก็จะแจ้งให้ครอบครัวผู้ตายมารับศพไปประกอบพิธีทาง ศาสนา ซึ่งตรงนี้ครอบครัวผู้ตายก็ติดต่อทางฌาปนสถาน (funeral home) ให้มารับศพไป
กรณีที่สอง เสียชีวิตที่สถานพักฟื้นคนชรา
แพทย์ประจำสถานพักฟื้น จะเป็นผู้แจ้งให้แพทย์ประจำตัวผู้ตายถึงรายละเอียดทั้งหมด แพทย์ประจำตัวผู้ตาย จะเป็นผู้บันทึกและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมากการตายในสถานพักฟื้น ไม่ค่อยมีอะไรที่น่าเคลือบแคลง จึงมักจะให้ครอบครัวผู้ตายติดต่อทางฌาปนสถานมารับศพไปประกอบพิธีได้เลย โดยต้องนำศพออกจากสถานพักฟื้นฯ ภายในหกชั่วโมง
กรณีที่สาม เสียชีวิตที่บ้าน
ถ้าขณะเสียชีวิตมีคนอยู่ด้วย ให้รีบโทรแจ้งแพทย์ประจำตัวผู้ตาย ถ้าเสียชีวิตมาก่อนหน้านั้น และไม่มีใครอยู่ด้วย หรือเวลาผ่านมาหลายชั่วโมง หรือเป็นวัน ให้โทรแจ้ง 911 เจ้าหน้าที่จะนำศพไปส่งชัณสูตร เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนความแล้ว ทางหน่วยชัณสูตรพลิกศพก็จะแจ้งให้ครอบครัวผู้ตายมารับศพไปประกอบพิธีทาง ศาสนาต่อไป
การนำศพกลับเมืองไทยไม่ใช่เรื่องยาก แต่ค่าใช้จ่ายแพงมาก... ย้ำว่ามาก... คือค่าขนส่งนี่เอามาปลูกบ้านได้หลังนึงสบายๆ ที่ส่วนมากทำกันคือเผาที่ต่างประเทศ และนำเถ้ากระดูกกลับไปบำเพ็ญกุศลที่เมืองไทย
สถานฌาปนกิจในต่างประเทศ มีบริการเผาศพ แต่ไม่มีพิธีทางศาสนา ยกเว้นครอบครัวผู้ตายจะเป็นคนจัดหาและดำเนินการ หรือจ้างให้เขาดำเนินการให้ ซึ่งไม่ค่อยมีคนทำเพราะค่าใช้จ่ายสูง และไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง ปกติเมื่อเผาแล้ว เขาจะนำเถ้ากระดูกมามอบให้คู่สมรส หรือญาติ เพื่อนำไปฝังหรือไปเก็บแล้วแต่ต้องการ
ตามกฏหมายแล้ว ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องรักษาพยาบาล เรื่องทำศพ ฯลฯ คือสามี/ภรรยา ของผู้ตาย ไม่ใช่ญาติพี่น้อง กฏหมายในทุกประเทศคล้ายคลึงกันในข้อนี้คือ ถ้าผู้ตายมีคู่สมรสโดยชอบด้วยกฏหมาย คู่สมรสจะมีอำนาจเต็มในการตัดสินใจ และดำเนินการตามที่เห็นสมควร แต่ถ้าผู้ตายเป็นโสด หรือคู่สมรสอยู่เมืองไทย อย่างนี้คู่สมรสที่เมืองไทยมีอำนาจเต็มในการดำเนินการ ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ที่สำคัญก่อนจะทำอะไรลงไป คุณต้องทราบว่าผู้ตายได้ทำ living will เอาไว้หรือไม่ ถ้ามี.. ผู้ตายมีความประสงค์จะให้จัดการกับร่างของตนอย่างไร เช่น ต้องการให้เผา หรือต้องการให้ฝังที่ไหน ฯลฯ ค่าใช้จ่ายสำหรับการเผาศพ จะตกประมาณ $1500-$2000 ไม่ควรเกินนี้ค่ะ
ถ้าผู้ตายมีคู่สมรส คุณเป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้อง และคุณต้องการเถ้ากระดูกของผู้ตาย คุณต้องขอแบ่งจากคู่สมรส เพราะทางสถานฌาปนกิจจะไม่ทำให้ คุณต้องบอกคู่สมรสของผู้ตายด้วยว่า เขาต้องนำใบเสร็จจากฌาปนสถาน และมรณบัตรที่ทางการอเมริกันออกให้ ไปยื่นที่สถานทูตไทยเพื่อแจ้งการตาย และขอใบมรณบัตรของไทย เพราะคนส่วนมากมักจะเข้าใจว่าแจ้งกับทางการท้องถิ่นแล้วก็คือจบ ยังไม่จบค่ะ เพราะยังต้องการหลักฐานไปยื่นทางเมืองไทย ถ้าคุณไม่ยื่นตอนนี้ ก็จะต้องกลับไปยื่นที่กรมการกงสุล ซึ่งทางกรมการกงสุลก็จะต้องส่งเรื่องกลับมายังสถานทูตอยู่ดี ดังนั้นทำให้เสร็จเรียบร้อยเสียเลยทีเดียวดีกว่า พอได้ใบมรณบัตรของไทยแล้ว คุณสามารถนำเถ้ากระดูกกลับไปพร้อมกับใบมรณบัตรได้เลย
ถ้าคุณต้องการนำศพกลับเมืองไทย คุณติดต่อสถานทูตไทย ทางสถานทูตจะมีรายชื่อบริษัทที่ให้บริการทางด้านนี้ ให้คุณไปติดต่อเอง
เมื่อคุณนำใบมรณบัตรไทยกลับเมืองไทยไปแล้ว คุณต้องไปแจ้งการเสียชีวิตที่เขต หรืออำเภอที่ผู้ตายมีทะเบียนบ้านอยู่ เพื่อจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนบ้านให้เรียบร้อย จึงจะถือว่าสมบูรณ์ค่ะ